Friday, May 29, 2015

I finally have no excuse not to write.


ผู้หญิงคนนี้เธอชื่อ Cassia Leo เป็นนักเขียน ‪Bestseller ของ ‪Amazon‬ ค่ะ เล่าให้ฟังว่า ชอบงานขีดๆ เขียนๆ มาตั้งแต่เล็ก แต่ไม่มีโอกาสได้ทำความฝันให้เป็นจริง จนแต่งงานมีลูกและกลายเป็น single mom ความฝันเรื่องเป็นนักเขียนก็ถูกพับใส่ลิ้นชักไปเลย





เธอเคยทำงานเป็นเลขาฯ ค่ะ ซึ่งงานเป็นงานเป็นโปรเจคจบเป็นงานๆไป หลังๆ มานี้สังเกตเห็นว่ามีเพื่อนร่วมงานโดนเลย์ออฟมากๆ ขึ้น เธอก็คิดว่าต่อไปถึงคราวตัวเองแน่
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ !

มาถึงตอนนี้ เธอพูดว่า "I finally have no excuse not to write" "ฉันไม่มีข้ออ้างอะไร ที่จะไม่เขียนอีกแล้ว"

Cassia Leo ใช้เวลา 6 เดือนไปอาศัยบ้านญาติ (เข้าใจไม่ต้องการเช่าบ้าน เพราะตกงาน) อยู่พร้อมลูกสาวแบบอัตคัด เพื่อเขียนหนังสืออย่างเดียวจนเสร็จ

ปัจจุบันเป็นนักเขียน ‪‎eBook‬ Bestseller ของ Amazon

"You finally have no excuse not to write" "คุณไม่มีข้ออ้างอะไร ที่จะไม่ (เริ่ม) เขียนอีกแล้วนะคะ"

หลิน

Tuesday, May 26, 2015

คิดเรื่องเขียนไม่ออก ก็ยังทำเงินได้ที่ Amazon

ในฐานะนักเขียนคนนึง (และเชื่อว่าหลายๆ คนก็เป็น) ก็คือ บางทีคิดเรื่องที่จะเขียนไม่ออก สมงสมองตีบตันไปหมด และยิ่งถ้าไปเค้นก็ยิ่งคิดไม่อ๊ออกกก เฮ่ออออ...(ปัญหาโลกแตกก)

แต่ยังไง๊ ถึงคิดไม่ออก Amazon ก็มีช่องทางให้เอางานที่คนขายไม่ได้เขียนคนเขียนไม่ได้ขาย (งงไหม) มาขายได้อย่างถูกกฏค่าา...เย่

เพราะว่ามีผลงานต้นฉบับอยู่ประเภทนึง ซึ่งกฏหมายเรื่องลิขสิทธิ์ยังไม่คุ้มครอง เช่น ผลงานเกิดก่อนกฏหมายซะอีก หรือ เจ้าของเรื่องมีความตั้งใจที่จะให้ผลงานตัวเองมีคนอ่านเยอะๆ แพร่หลายในวงกว้าง เลยไม่ตั้งลิขสิทธิ์ให้วุ่นวายใจ

สำหรับกฏหมายลิขสิทธิ์เพิ่งถูกกำเนิดบนโลกนี้เมื่อปี 1927 ดังนั้นผลงานเขียนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ถือว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างแท้จริง ใครๆ ก็เอาต้นฉบับมาขายได้ ถ้ายังนึกว่าไม่ออกว่าเป็นยังไงนะหนังสือไม่ลิขสิทธิ์เนี่ย ก็เช่น โรมิโอและจูเลียตไงคะ เป็นต้น



หนังสือประเภทนี้แหละค่ะ ที่ทุกคนสามารถเอามาขายเป็น eBook
ใน Amazon ได้

โดย Amazon จะมีศัพท์เฉพาะใช้เรียกหนังสือประเภทนี้ว่า Public Domain บนเงื่อนไขดังต่อไปนี้นะคะ

1. ต้องไม่ซ้ำกับผลงานคนอื่นที่ขายอยู่ที่ Amazon อยู่แล้ว

2. ถ้าซ้ำ ผลงานต้องมีเนื้อหาเพิ่มเติมจากเล่มเดิมที่ขาย เช่น
มีเนื้อหาตรงนั้นตรงนี้เพิ่มเติม ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ เอาประวัติคนเขียนมาเพิ่ม (ก๊อปจากเนตเอาก็ได้)
หรือ มีรูปประกอบเพิ่มเติม ซึ่งรูปพวกนี้ต้องเข้ากับหนังสือด้วยนะคะ ไม่ใช่เอารูปอะไรมาใช้ก็ได้ ><'

ไฮไลท์เลย หนังสือ Public Domain นี้ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นภาษาอะไร ดังนั้นจะขายภาษาอะไรก็ได้ค่ะ  สเปน ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ฯลฯ

ด้วยวิธีนี้เอง เคยเห็นว่ามีคนไทยทำหนังสือแบบนี้ไปขายเป็น 10 เล่มต่อเดือน ได้เงินค่าลิขสิทธิ์วันละ 20-30  USD เค้าก็ว่าสบายๆๆ มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นก็ได้

ข้อสำคัญที่ควรรู้ก็คือ ในเมื่อผลงานถือเป็นผลงานไม่มีลิขสิทธิ์ เราเอามาขายได้ คนทั้งโลกก็เอามาขายได้เหมือนกันนะ ดังนั้นก่อนเอาผลงานอันไหนมาขาย ลอง search ดูก่อนว่ามีคนขายใน Amazon แล้วหรือยัง ถ้าไม่มีลุยโลด ถ้ามีเราจะต้องทำยังไงไม่เหมือนผลงานที่วางขายอยู่ตามวิธีที่คุยกันไปข้างบนค่ะ

ลองดูกันนะคะ ไม่ยากและไม่ง่าย ถ้ารวยแล้วอย่าลืมแบ่งกันมั่ง อิ อิ^^

หลิน

ทำไม Amazon ถึงไม่ให้ขาย

เวลาโหลดหนังสือ ทำไมบางครั้งโดน ‪Amazon‬ ปฏิเสธ โดน ban อีกทำไงดี
บางทียิ่งกว่านั้น หนังสือขายอยู่ดีๆ Amazon เขียนอีเมล์มาบอกว่าไม่ให้ขายต่อ โอ้ยย...งง เพราะอะไรนะ

หลินได้รับคำถามมาว่า ทำไมเราทำหนังสือเองออกขาย เนื้อหาคิดเอง ก็ไม่ได้ไปลอกใครมานะ หรือเป็นผลงานคนอื่นแต่เราก็ทำแบบถูกกฏนะ

แต่ทำไมเวลาโหลดหนังสือเพื่อขายกลับได้รับการปฏิเสธล่ะ
เรื่องนี้ต้องเล่าให้ฟังแบบนี้ค่าาา




แบ่งเป็น 2 กรณีนะ

กรณีแรก ผลงานของเราเองแต่โดน Ban มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้ค่ะ
พวกรูปโป๊หรือเข้าข่าย หวาบหวิว อนาจาร

มีเนื้อหาทำนองผิดกฏหมาย เช่น สอนทำอาวุธ สอนวิธีฆ่าตัวตาย หรือสอนให้ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้ ลัทธิทั้งหลายแหล่

มีเนื้อหาที่เกี่ยวพันกับสิ่งที่ฝรั่งอ่อนไหว เปราะบาง เช่น ผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ เพศที่สาม ศาสนา


อีกประเภทก็คือ หนังสือขายไปแล้ว วัน (ร้าย) คืน (ร้าย) ได้อีเมล์จาก Amazon ให้เลิกขาย (ซะงั้น) ก็สามารถเดาได้ว่าหนังสือของเราที่ขายไปแล้ว มีลูกค้าที่ซื้อไป ร้องเรียนมาค่ะ แล้ว Amazon ตรวจสอบว่าจริง จึงระงับการขายหนังสือของเราไว้ก่อน

ถ้าผิดไม่เยอะแยะ เค้าอาจให้โอกาสแก้ไข แล้วอัพขึ้นขายใหม่ แต่ถ้าผิดเยอะมากๆ Amazon อาจไม่ให้ขายอีกเลยค่ะ

ตัวอย่างที่ลูกค้าร้องเรียน ก็เช่น พิมพ์ผิดเยอะมาก อันนี้ต้องระวังนะคะ บางทีนักเขียน เขียนต้นฉบับไว้หลายไฟล์ หลายเวอร์ชั่นมาก สับสน ถึงเวลาโหลดจริงๆ ดันเอาเวอร์ชั่นที่ไม่ใช่สุดท้ายขึ้นไปขาย พิมพ์ผิดเพียบว่างั้น

มีไฟล์รูปภาพคุณภาพต่ำเกิน เปิดออกอ่านในหนังสือ หน้าตาแตกเป็นเม็ดๆ ดูเลือนลางประหนึ่งถ่ายจากกล้องวงจรปิดอีกที ภาพพวกนี้ไม่ควรนำมาใช้ค่ะ

ต่อมาก็พวกเนื้อหาขาดๆ เกินๆ เคยเจอไหมคะ เวลาไปซื้อหนังสือตามร้าน บางทีเราได้หนังสือเล่มที่ไม่ผ่าน QC มา หนังสือกระโดดจากหน้านึงไปอีก 20 หน้าเลย ตอนสำคัญของหนังสือหายโหม้ดดด เซ็งอารมณ์คนอ่านเลยใช่ไหมคะ

แต่พอเป็นหนังสือเล่ม เราก็สามารถเอาไปเปลี่ยนที่ร้านหนังสือได้ แต่พอเป็น ‪eBook‬ ลูกค้าจึงร้องเรียนไปที่ Amazon ได้ค่ะ


ลักษณะทำนองนี้ทาง Amazon ก็สามารถปฏิเสธหนังสือของเราได้ค่ะ อย่างที่บอกบางทีเค้าให้โอกาสไปปรับปรุงไฟล์แล้วมาขายใหม่ ถ้าเราเป็นบ่อยๆ เยอะๆ account เราก็จะโดน ban ได้

ดังนั้น ต้องระมัดระวังหน่อยเวลาอัพหนังสือนะคะ
ด้วยความปรารถนาดีจากหลิน^^ 
จะได้ไม่ต้องมาทำงานซ้ำสองค่า

เดี๋ยวตอนหน้ามาต่อกันในกรณี 2 เอาผลงานคนอื่นมาขายแบบถูกกฏ แต่ทำไม๊ยังโดน Ban จาก Amazon อีกนะ เซ็งจุง

หลิน

‪#‎เขียนหนังสือขาย‬

Tuesday, May 19, 2015

รู้ภาษี มีภาษีกว่า ‪

ทำหนังสือ ‪‎eBook‬ ใน ‪Amazon‬ มีเคล็ดลับอย่างนึงที่ช่วยให้นักเขียนได้ตังเพิ่มขึ้นแทบจะทันที แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำ บ้างก็ว่ายาก บ้างก็ขี้เกียจ บ้างว่าวุ่นวาย ฯลฯ

ตอนแรกที่หลินทำหนังสือขาย eBook ใน Amazon หลินก็กะจะผ่านเรื่องนี้เหมือนกัน แค่ทำหนังสือก็เหนื่อยแร้วนะ

แต่พอไปดูเงื่อนไข อุแหม๋...ถ้าทำสำเร็จประหยัดไปได้เยอะเลยนะ ด้วยแรงงก จึงฮึดทำจนสำเร็จ
เป็นที่มาของโพสในวันนี้ค่ะ
นั่นคือเรื่องของ "ภาษี" นั่นเองงงง



จึงได้จั่วหัวไว้ว่าถ้าเรารู้จักทำ "ภาษี" (เงิน) จะช่วยให้เรามีภาษีกว่าใคร (ล้ำลึกไหมคะ อิ อิ)
การทำหนังสือ eBook ใน Amazon ก็เปรียบเหมือนกับว่าเรามีรายได้จากประเทศอเมริกาด้วย ซึ่งรายได้ตรงนี้ก็มาจาก‎ค่าลิขสิทธิ์นักเขียน‬ ที่ Amazon จ่ายให้จากค่าหนังสือค่ะ จึงจำเป็นที่รัฐบาลอเมริกาจะต้องมีการหักภาษีเกิดขึ้น (เหมือนรัฐบาลทุกประเทศในโลก)
ในเรททั่วไปจะหักที่ 30% ของค่าลิขสิทธิ์ที่เราได้ สมมติว่าเราได้ค่าเขียน 100 USD ก็โดนหักไป 30 USD เหลือเป็นของเรา 70 USD+ (หักค่าธรรมเนียมโอนผ่านธนาคาร)

แต่ๆๆๆ ในกรณีที่เราทำการยื่นภาษีผ่านหน่วยงานของ IRS ของเมกา เราจะได้สิทธิในการลดหย่อนภาษีทันที
จาก 30% ในเรทปกติ จะเหลือเพียง 5% เท่านั้นนนน เย้ๆๆๆ

และนี่คือวิธีการค่ะ
เราต้องเข้าไปที่เว็บไซด์ของ Income Tax Revenue (IRS) (หลินเข้าใจว่าประมาณว่ากรมสรรพากรบ้านเรา) เพื่อกรอกข้อมูลรายได้ (ที่คาดว่า) จะมีจากค่าลิขสิทธิ์นักเขียนใน Amazon ค่ะ
โดยเข้าไปที่เว็บ http://www.irs.gov/pub/irs-pdf/fss4.pdf
กรอกฟอร์มที่ชื่อว่า SS-4 จากนั้น fax หรือส่งปณ. ไปที่ IRS อเมริกาค่ะ (มีที่อยู่แจ้งไว้ให้ )
ถ้าเราทำสำเร็จเค้าจะส่งจม.มาที่บ้าน (หรือที่อยู่ที่เราให้ไว้) พร้อมแจ้งเลขหมาย Employee Identification Number (EIN) (ประมาณว่าหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี)

พอเราได้เลขนี้ล่ะ ก็นำไปใส่ในข้อมูลของ Tax information ที่ Amazon ค่ะ
เลขนี้เป็นเลขเฉพาะตัว ของใครของมันยืมกันไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องสมัครด้วยตัวเอง เพราะฐานข้อมูลของที่เมกาก็จะขึ้นชื่อว่าเลขนี้เป็นของใครด้วย

ขั้นตอนนี้ล่ะค่ะ หลายคนรู้สึกว่ายุ่งยาก วุ่นวายจัง ถามว่าไม่ทำได้มะ
คำตอบคือได้ค่าาา ไม่บังคับ แต่มีเงื่อนไขที่จะถูกหักภาษีในเรท 30% แค่นั้น
แต่ถ้าใครคิดว่าทำหนังสือขายใน Amazon เพื่อชิมลางก่อน ภาษียังไม่อยากสมัครให้ยุ่งยากก็ทำได้ค่ะ วันหลังยอดขายเยอะแล้วอยากทำจริงจังแล้วมาสมัครทีหลังก็ได้ แต่ว่าจะถูกหักในเรท 5% นับตั้งแต่วันที่ได้เลข EIN และจะไม่ย้อนหลังให้นะจ๊ะ

รู้อย่างนี้แล้ว เราต้องเอาธงมาปักก่อนว่าจะยอมเสียเวลาที่จะสมัครไหมนะคะ
หลิน

Sunday, May 17, 2015

โปรโมทหนังสือตัวเองยังไงดี ? วิถีที่นักเขียนอิสระต้องรู้

คราวที่แล้วเราคุยกันว่า ถ้าเขียนหนังสือออกขายแล้ว วางไว้เฉยๆ เดี๋ยวผล
งาน master piece ของเรา คุณผู้อ่านจะไม่เห็น บางทีหนังสือดีมากค่ะ แต่ว่าโอกาสคนเห็นน้อย เปรียบประหนึ่งทำกับข้าวอร่อย สูตรลับจัดเต็มแต่ร้านอยู่ในซอยลึก เลี้ยว 8 ตลบกว่าจะเจอ




ทำนองเดียวกันค่ะ
ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องหาตัวช่วยมาเป็นมือขยันผลักดันหนังสือเราให้คนเห็นเย๊อะๆๆ
ตัวช่วยพวกนี้มีหลายแบบ จริงๆ Amazon Kindle เองก็มีระบบทำโปรเพื่อช่วยนักเขียนด้วยเหมือนกันค่ะ โปรยอดฮิตที่ได้ความนิยม ก็เช่น
count down deal (ลดราคาหนังสือเป็นขั้นบันได)
lending program (ให้คนอื่นยืมหนังสือฟรีในระยะเวลาที่กำหนด)
gift (ซื้อหนังสือเป็นของขวัญให้กับคนอื่น) ฯลฯ

หรือที่สุดแล้ว นักเขียนบางคนแจกฟรีผลงานของตัวเองในช่วงแรกๆ เลยด้วยซ้ำค่ะ (free promo)

หลายคนคงคิดว่า โอ้ย..อุตส่าห์คิดงานแทบแย่ ถึงเวลาเอาไปให้โหลดอ่านฟรีๆ เลยเหรอ ? แล้วคนเขียนจะได้อาไร
แต่เชื่อไหมคะว่ามีคนทำและทำเยอะด้วยค่ะ

เพราะว่าหนังสือบางเล่มเป็นตอนๆ เป็นซีรีย์ ๆ นักเขียนบางคนเริ่มต้นยังไม่เป็นที่รู้จักในวงการ แต่อยากหาที่เผยแพร่ผลงาน ก็เริ่มจากการแจกหนังสือให้อ่านฟรีกันก่อน พอคนอ่านติดแล้วอยากติดตาม เล่มต่อไปก็ขายค่ะ ด้วยวิธีนี้ทำให้นักเขียนคนนี้สร้างฐานแฟนคลับติดตามได้ พอหนังสือเล่มใหม่ออก ก็มีฐานแฟนคลับกลุ่มนี้ค่ะ คอยซื้อเป็นมือแรกๆ ช่วยสร้าง traffic ใน post ของหนังสือเล่มนั้นๆ ค่ะ

ดังนั้น ในฐานะนักเขียนเราเองก็ต้องหาวิธีทำโปรหนังสือของเราด้วย ถี่ห่างมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นกับความเหมาะสม ถ้าตั้งใจจะขายอยู่แล้ว (ไม่ได้ตั้งใจจะให้แจกฟรี) ก็อย่าลดราคาบ่อยนัก ไม่งั้นคนจะรอซื้อแต่ตอนลดราคานะเออ

ในหน้าแรกของ eBook ใน Amazon จะมีหนังสืออีกหมวดชื่อว่า Top 100 Free หนังสือหมวดนี้ก็หมายถึงว่าคนเขียนตั้งใจแจกฟรีแบบถาวร ไม่มีระยะเวลาจำกัดในการโหลด
ถ้าหนังสือเล่มไหนติด Top 100 Free แปลว่าคนเห็นมาก รู้จักมากกว่าเล่มอื่นๆ ถ้าเทียบของไทยก็ประหนึ่งติดกระทู้แนะนำในพันทิปค่ะ เวลานักเขียนคนนี้ออกหนังสือเล่มใหม่ก็มีโอกาสที่คนจะซื้อมากกว่า หนังสือเล่มที่ผู้อ่านไม่รู้จักผู้เขียนเลย

ด้วยวิธีนี้หนังสือระดับตำนานของพวกเรา ก็จะมีโอกาสออกสู่สายตาประชาชีมากกว่าเดิมค่ะ เพียงแค่เรารู้จักวิธีโปรโมทเท่านั้นนๆๆ

สู้ๆ นะคะ
หลิน

Sunday, May 10, 2015

เขียนหนังสือขายเสร็จ วางไว้เฉยๆ ก็ขายได้เลยไหม

ตอนที่หลินไปแชร์ประสบการณ์เรื่องเขียนหนังสือ ‪eBook ขายบน Amazon มีหลายคนถามว่า เวลาทำหนังสือ eBook เสร็จแล้ว วางขายแล้วบน Amazon ก็เสร็จแล้วใช่ไหม ยังไงหนังสือก็ขายได้เองไปเรื่อยๆ ใช่เปล่า

อันนี้หลินตอบได้เลยค่ะ ว่าไม่ถูกซะทีเดียว อยากให้นึกภาพว่าเวลาเราทำหนังสือเล่มๆ ขายตามร้านทั่วไป เรา (ในฐานะนักเขียน) ก็อาจจะเขียนให้เสร็จ ตรวจต้นฉบับให้เสร็จแล้วก็จบเรื่องกัน ที่เหลือก็รอรับค่าลิขสิทธิ์อย่างเดียว คิดว่าหวานหมูแล้วเนาะ




แต่ความจริงแล้วยังมีหลังฉาก ซึ่งเป็นงานของบรรณาธิการและสำนักพิมพ์อยู่ นั่นคือโปรโมทหนังสือในสังกัด เช่น ทำโปรโมโชั่นกับร้านหนังสือ se-ed ‪นายอินทร์‬ B2S ลดราคาหนังสือบ้าง (10%-15%) ออกงานสัปดาห์หนังสือบ้างไรบ้าง ฯลฯ ซึ่งจะโปรโมทมากหรือน้อยก็ขึ้นกับนโยบายแต่ละสำนักพิมพ์ ซึ่งงานตรงนี้นักเขียนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง (อาจจะยุ่งเกี่ยวบ้างตอนไปแจกลายเซ็นต์ ถึงขั้นนี้ก็ดังแล้วนะ ตัวเอง)

ทำให้บางคนรู้ บางคนไม่รู้ ดังนั้นหลายคนพอมาทำหนังสือขายเองเลยตกม้าตาย เพราะทำแบบเดิม คือเขียนหนังสือเสร็จก็รอรับค่าลิขสิทธิ์ แล้วบ่นว่า เอ้ย ทำไมหนังสือขายไม่ดีเลย เลิกทำดีกว่า เซ็งจิต ><'

จริงๆ ไม่ว่าจะเขียนหนังสือเล่มขายตามร้านหนังสือ หรือหนังสือ eBook ขายบน Amazon ทั้งหมดก็ต้องการการโปรโมทค่ะ เพียงแต่การเขียนหนังสือเล่ม นักเขียนไม่ได้โปรโมทเอง มีคนทำให้ พอมาเป็นนักเขียนอิสระท่องเองในยุทธภพ งานตรงนี้เราถึงต้องทำด้วย เพราะไม่มีคนหรือทีมมาช่วยดันแล้ว
จึงกลับมาสู่คำถามว่าเขียนหนังสือเสร็จ วางไว้เฉยๆ ก็ขายได้เลยไหม

คำตอบคือถ้านักเขียนเป็นคนดังในสายงานนั้นแล้ว เช่น ถ้าพูดถึงวงการเพาะปลากัด ต้องเฮียคนนี้ชัวร์ ถ้าพูดถึงเซียนหุ้นร้อยเด้ง ต้องดร.คนนี้แน่ๆ หนังสือของเค้าเหล่านั้น ก็จะขายได้ดีแน่ๆ เพราะฐานแฟนคลับรอซื้ออยู่แล้ว

แต่ถ้าไม่ใช่ คนธรรมดาอย่างเราต้องมีตัวช่วยผลัก ช่วยดันหนังสือกันหน่อยค่ะ ทำถึงจุดนึงเหมือนเข็นรถขึ้นภูเขา พอขึ้นถึงยอดแล้วต่อไปก็เบาแรงล่ะ

ตอนต่อไป หลินมาจะเล่าให้ฟังเรื่องตัวช่วย เพื่อดันยอดหนังสือ eBook บน Amazon นะคะ ทำสำเร็จจะเสมือนมีมือขยันมาช่วยดันหนังสือเราสัก 10 มือ อิ อิ^^
ไว้คอยติดตามค่าาา

หลิน

Wednesday, May 6, 2015

ถ้าไม่เก่งคอมพ์ ไม่เก่งกราฟฟิค จะทำหนังสือ eBook ขายใน Amazon ได้ไหม?

อันนี้เป็นคำถามยอดฮิตอันดับ 2 รองจากโพสที่แล้วค่ะ
ตอบแบบสั้นคำเดียวเอาอยู่ว่า "ได้" เติมอีกนิดว่า "แน่น้อน" ^^
เพราะอะไรนะ?

หลินตอบได้เลยว่า เพราะว่าหนังสือ eBook ใน Amazon เนี่ย ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเน้นเนื้อหาเป็นหลักทั้งนั้นเลย ไล่เรียงมาตั้งแต่ นิยาย, how-to,make rich, cookbook, ปรัชญา ฯลฯ



หนังสือพวกนี้เป็นหนังสือที่เปิดมาแล้วส่วนใหญ่หนัก text มากกว่าหนักรูปค่ะ
ดังนั้น Amazon ก็พยายามคิดรูปแบบของการจัดหน้าให้ผู้เขียน (ทั่วโลก) ทำได้ง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้ จึงมาลงตัวที่โปรแกรมที่ง่ายสุดในสามโลก นั่นคือ Microsoft word

กล่าวอย่างย่นย่อคือ ถ้าพิมพ์ word ได้ ใช้คำสั่ง Insert picture เป็น ก็จัดหน้าหนังสือ eBook ขายใน Amazon ได้แล้ว เย่
แล้วถ้าชั้นทำได้มากกว่า Microsoft word ล่ะ ?

ได้มากกว่าก็เยี่ยมเรยค่ะ เพราะนอกจาก Microsoft word, Amazon ยังรับไฟล์หนังสือ eBook ในรูปแบบอื่นๆ สำหรับผู้เขียนที่ใช้โปรแกรมอื่นๆ เป็นด้วย อาทิ HTML, ePub

คราวนี้ไม่ต้องกังวลว่า กว่าจะเขียนได้ก็แทบแย่ จะมาตกม้าตายเอาตอนจัดหน้า อีกต่อไปแล้วนะคะ

หลิน ^^

Saturday, May 2, 2015

ถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษ ทำหนังสือขายใน Amazon จะได้ไหม?

อันนี้เป็นคำถามที่ได้ยินบ่อยมากที่สุดคำถามหนึ่งเวลาไปแชร์ประสบการณ์เรื่องเขียนหนังสือขายบน Amazon เลยค่ะ

ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะเราคนไทย แต่ปัญหานี้ยังเป็นปัญหาสำหรับนักเขียนทุกชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักค่ะ

เพราะว่าใน Kindle เองก็ยังมี translation center ให้บริการแปล (แบบเสียตังค์) สำหรับนักเขียนชาติอื่นๆ ด้วย เช่น
แปลจากเยอรมันเป็นอังกฤษ แปลจากสเปนเป็นอังกฤษ เป็นต้น เพราะตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Amazon คือตลาดอเมริกา (ที่พูดอังกฤษเป็นหลัก)

ดังนั้น หลินคิดว่าเราทุกคน (เว้นคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก) ล้วนเจอความท้าทายเรื่องนี้เหมือนกันๆ อย่ากลัวกันเลยนะคะ
แล้วถ้าไม่อยากเขียนภาษาอังกฤษ ไม่อยากเสียเงินค่าแปล ไม่อยากวุ่นวาย จะทำหนังสือขาย Amazon ไม่ได้เลยเหรอ
เอาจริงๆ ยังมีหนังสืออีกหลายประเภทค่ะ ที่ใช้ภาษาน้อยหรือแทบไม่ใช้เลย


มีด้วยเหรอ !
มีค่ะ
เช่น

หนังสือเด็ก หนังสือเด็กบางเล่มมีรูปหมีอยู่ตัวเดียวแล้วมีคำว่า Halooo! อยู่กลางหน้ากระดาษคำเดียว
หนังสือตำราทำอาหารทั้งหลาย เช่น สอนทำน้ำผลไม้หรือทำสลัด
หนังสือพวกนี้จะบอกส่วนผสมว่าใช้อะไรกี่กรัม ที่สุดแล้วก็เอาปั่นหรือเอาไปคลุกเป็นอันจบ 1 เมนู
นอกจากนี้ก็เป็นหนังสือพวกภาพประกอบทั้งหลาย สำหรับคนมีหัวด้านงานวาด งานกราฟฟิค งานดีไซน์ หนังสือพวกนี้ใช้ภาษาไม่มาก บางหน้ามีคำว่า "อ๊ากกกซซซซ์" คำเดียว หรือมีคำคมประโยคเดียวก็มี
ลองดูกันนะคะ

จริงๆความท้าทายด้านภาษานี้ก็พลอยทำให้คู่แข่งน้อยลงไปโดยปริยายด้วยค่ะ เรื่องไทยๆ คนต่างชาติรู้ไม่เท่าเราหรอกค่ะ แต่คนไทยทำขายเองตอนนี้ก็ยังน้อยน้า