Friday, July 31, 2015

8 เหตุผลที่บอกว่าทำไม eBook ถึงได้ฮิต

ถ้าย้อนหลังไปเมื่อสัก 4-5 ปีก่อนไม่ต้องนาน หลินมั่นใจว่าหลายคนคงคิดไม่ถึงว่าทำไมตลาด eBook ในไทยเติบโตได้ขนาดนี้ ใครจะยอมไปอ่านหนังสือในคอมพิวเตอร์ที่ไม่สะดวกซะเลย โน้ตบุ๊คก็แพง คอมพ์ตั้งโต๊ะก็เทอะทะ พลิกหน้าให้อารมณ์แบบหนังสือก็ไม่มี  ฯลฯ

ภาพจาก http://www.buzzfeed.com/isaacfitzgerald/books-battle-royale#.kmoakgked


ถ้าถามหลินว่าเพราะอะไร? 

หลินว่าส่วนนึงที่ eBook  ในไทยมาฮิตได้เพราะเหตุผลข้างล่างนี้ค่ะ

1. หาซื้อง่าย สะดวกและเร็วกว่า
เพราะซื้อเวลาไหนก็ได้ ตอนไหนก็ได้ แต่งตัวยังไงก็ซื้อได้ (ชุดนอนก็ยังได้) ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แค่เข้าเวบร้านหนังสือออนไลน์ จ่ายตังค์แล้วก็ download --เสร็จ!


2. eBook ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ง่าย
เป็นประโยชน์ต่อผู้เขียนหากผิดพลาดหรืออยากเพิ่มเนื้อหาให้ทันสมัย ก็แค่แก้ไฟล์แล้ว uploadขึ้นไปใหม่ ไม่ต้องยุ่งยากเหมือนหนังสือเล่ม ที่ต้องแก้เพลตแลัวพิมพ์ใหม่ ค่าใช้จ่ายสูง หนังสือเก่าก็ค้างสต็อกทำอะไรไม่ได้

เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านคือได้ข้อมูลที่สุดทันสมัย ไม่ใช่เขียนไปแล้วรอโรงพิมพ์ พิมพ์อีกเดือนนึง รอกระจายหนังสือไปตามร้านทั่วประเทศอีกอาทิตย์นึง ข้อมูลบางอย่างแค่วางแผงช้าไปเดือนสองเดือนหรือออกช้ากว่าคู่แข่งก็ outdate ไปซะแล้ว ฮ่วย!


3. ไม่เปลืองพื้นที่เก็บ
อยู่คอนโดไม่ต้องคิดมากเรื่องซื้อหนังสือแล้วหาที่เก็บไม่ได้ เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่อยู่บ้านหลังเล็กลงเรื่อยๆ คอนโดที่เล็กสุดตอนนี้ขายที่ขนาด 21 ตรม. (รุ่นพ่อแม่เรารับม่ะได้จริงๆ เสียงลอยๆถามว่าอยู่ได้ไง) ดังนั้น ลืมไปเลยเรื่องห้องเก็บของ เพราะห้องที่เราอยู่นั่นแหละคือห้องเก็บของล่ะ!

เมื่อเป็นอย่างนี้ การมีหนังสืออยู่ใน tablet อยู่ในคอม อยู่ในมือถือ ช่วยลดพื้นที่เก็บหนังสือ ห้องก็ดูโล่งๆน่าอยู่ขึ้นมาหน่อยนะ จริงมั๊ย?


4. อนุรักษ์ธรรมชาติ ลดการตัดไม้
ก็ไม่ต้องพิมพ์ออกมานี่นา จบข่าว!


5. ขนง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก
คิดถึงตอนย้ายบ้านสิ สารพัดกล่อง ใครเป็นหนอนหนังสือหรือชอบสะสมหนังสือคงรู้ดี หนังสือเห็นวางตั้งไม่สูงเท่าไหร่ แต่ตอนขน คิดบ่นในใจดังๆทำไมหนักจังว้าาา! ตอนย้ายบ้านย้ายห้องที กว่าจะเสร็จมีเสียตังค์ให้ร้านนวดไปหลายรอบเลย

ภาพจาก http://www.buzzfeed.com/isaacfitzgerald/books-battle-royale#.kmoakgked



6. ทำ link อ้างอิงในหนังสือได้ด้วยนะ คลิ๊กแล้ววาร์ปไปในทันใด แถมappอ่าน eBookบางตัวมีดิกในตัวด้วยนะ ชีวิตดี๊ดี!

ภาพจาก http://www.buzzfeed.com/isaacfitzgerald/books-battle-royale#.kmoakgked


7. ถูกกว่าหนังสือเล่ม
เพราะตัดต้นทุนกระดาษ โรงพิมพ์ออกไป ราคาเลยถูกลงได้ แถมเหลือส่วนแบ่งรายได้ให้นักเขียนเยอะกว่าเดิมอีก คนซื้อแฮปปี้ นักเขียนก็แฮปปี้


8. ตอบสนองตลาดniche ได้ดี กว่าหนังสือเล่ม
ในมุมมองสำนักพิมพ์ การที่จะออกหนังสือสักเล่ม เค้าต้องคิดก่อนแล้วว่า ตลาดของหนังสือเล่มนั้นมันใหญ่พอมั๊ย กลุ่มคนที่สนใจเยอะพอมั๊ย มีกำลังซื้อพอที่จะคุ้มตีพิมพ์ขายมั๊ย เหตุนี้เลยทำให้หนังสือบางประเภทตีพิมพ์ออกขายเป็นเล่มยากมากๆค่ะ เพราะกลุ่มคนที่สนใจสเกลไม่ใหญ่พอที่สำนักพิมพ์จะสนใจ



ตัวหลินเองคิดว่าข้อสุดท้ายนี้ทำให้ eBookได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะผู้คนก็โหยหาสิ่งที่เป็น niche กันมากขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ แต่ก่อนมีแชมพูสระให้ผมสะอาดก็ดีแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องมีผมลีบ ผมหยิก ผมดัด ผมตรง ผมสั้น ฯลฯ ต่อไปอาจมีลูกผสมเป็น ผมลีบและดัด ผมตรงและแข็ง ผมแบนแต่ยาว 555 เฮ่ย นี่ใช่แชมพูละป่าวเนี่ย

ก็เหมือนกับหนังสือนะคะ ที่เดี๋ยวนี้จะเขียนหนังสือเลี้ยงแมวครอบจักรวาลเล่มเดียวก็ไม่พอ ต้องมีเลี้ยงแมวขนสั้น เลี้ยงแมวขนยาว เลี้ยงลูกแมว เลี้ยงแมวโตเต็มวัย ต่อไปคงมีเลี้ยงแมววัยชรา ทั้งที่แต่ก่อนแมวอะไรก็กินเหมือนกัน เลี้ยงเหมือนกัน ก็คือข้าวคลุกปลาทู

ซึ่งตลาดที่เป็น niche เนี่ย อย่างที่บอก สำนักพิมพ์เองไม่นิยมพิมพ์เป็นเล่มขาย eBookเลยตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดีค่ะ กระซิบนิดนุง ยิ่งเนื้อหาใน eBook  ยิ่ง niche  มาก ก็สามารถตั้งราคาขายได้แพงมากด้วย เพราะคนซื้อไม่สามารถจะไปหาข้อมูลพวกนี้ได้จากที่ไหน

นี่คือเหตุผลบางส่วนที่หลินคิดว่า eBook ในไทยและในโลกถึงได้ฮิตขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ^^

ฝากตลกปิดท้ายค่ะ ไม่ว่าจะอ่านแบบไหน ขอแค่ให้อ่านก็เป็นประโยชน์แล้วค่ะ

หลิน^^



ข้อมูลอ้างอิง
http://successnet.org/cms/sales-and-marketing/top-ten-reasons-why-ebooks-are-better-than-printed-books

Wednesday, July 29, 2015

ทำหนังสือเล่มและ eBook ส่วนแบ่งรายได้ใครได้ตังค์เท่าไหร่กันบ้าง?

เคยสงสัยป่าวคะ ว่าหนังสือเล่มๆ นึง และ eBook ที่เราจ่ายเงินซื้อแล้วโหลดมา ตังค์ของเรานั้นใครได้ไปบ้าง? วันนี้หลินจะพาไปดูส่วนแบ่งรายได้หนังสือกันค่ะ  ข้อมูลหลายอย่างมั่นใจว่าหลายคนไม่ได้คิดมาก่อนว่าเป็นอย่างงี้เหรอ (เหมือนหลินตอนแรกๆ ค่า^^)


เริ่มกันด้วยฝั่งหนังสือเล่มกันก่อน ดูภาพข้างล่างได้เลย


เครดิตตามภาพค่ะ ส่วนตัวเลขสัดส่วนกะความจริงบวกลบกันไม่กี่มากน้อย

จะเห็นว่าผู้จัดจำหน่ายหนังสือเล่มมีส่วนแบ่งในรายได้ของหนังสือเยอะที่สุด คือเกือบ 50% ของหนังสือเล่มนึงทีเดียว

ก็แปลว่าถ้าหนังสือเราขายเล่มละ 100 บาท เราต้องจ่ายให้ผู้จัดจำหน่ายเกือบ 50 บาทค่าาาา โฮกกก!

เชื่อว่าหลายคนก็คงคิดว่าทำไมเยอะจังว้า ส่วนแบ่งถึง 50% เนี่ยนะ ต้องอธิบายแบบนี้ค่ะว่าผู้จัดจำหน่ายเองก็ดำเนินธุรกิจคล้ายๆ กับห้าง ไม่ต่างกับเวลาที่เราเอาของไปขายในห้าง ห้างก็จะคิดค่าดำเนินการส่วนใหญ่อยู่ที่ 40% ซึ่งก็เป็นพวกค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ ฯลฯ

ผู้จัดจำหน่ายหนังสือก็เหมือนกันค่ะ ค่าดำเนินการเกือบ 50% ที่ว่า เขาต้องเอาไปจ่ายค่าเช่าพื้นที่ห้าง (ซึ่งขึ้นราคาทุกปีๆ) ค่าแรงพนักงาน (ซึ่งปรับตามค่าแรงขั้นต่ำบ่อยๆ) แล้วก็เหลือเป็นกำไรของบริษัทเค้าเองค่ะ

ต่อมาเป็นส่วนของสำนักพิมพ์ได้ไปประมาณ 17-18%  (ตอนแรกนึกว่าได้เยอะกว่านี้ซะอีก)  แต่ในความเป็นจริงแล้วสำนักพิมพ์ต้องรับความเสี่ยงในกระบวนการพิมพ์หนังสือทั้งหมด ไม่ว่าหนังสือจะแป้กหรือขายดี ขายดีก็รอด ขายไม่ดีก็เจ็บตัวเพราะเค้าเป็นคนออกทุนในการพิมพ์ค่ะ

สุดท้ายคือเหลือให้นักเขียน (อย่างเรา) ก็ประมาณ 10% นั่นคือถ้าราคาหน้าปก100 บาท นักเขียนก็ได้ไป ประมาณ 10 บาทต่อเล่มค่ะ (ตัวเลขจริงในตลาดวิ่งอยู่ที่ 7-12% ขึ้นกับชื่อเสียงของนักเขียนด้วย)

คราวนี้หันมาดูฝั่ง eBook กันบ้าง

เพราะเหตุที่ว่าต้นทุนค่าจัดจำหน่ายหนังสือเล่มที่สูงซะเกือบครึ่งของราคาหน้าปกหนังสือ บวกกับต้นทุนค่ากระดาษและค่าโรงพิมพ์ที่นับวันจะแพงขึ้น จึงมีนักเขียนหรือสำนักพิมพ์บางแห่งตัดสินใจทำ eBook ขายซะเลย  ไม่ว่าจะในประเทศ (Ookbee, Mebmarket) หรือต่างประเทศ  (Amazon)   ค่าตอบแทน eBook ที่ขายบน Amazon Kindle จะได้ถึง 70% เลยทีเดียว (ส่วนอีก 30% บวกกับค่า delivery cost อีกเล็กน้อย ทาง Amazon ได้ไปค่ะ)





หันมาดูร้าน eBook เจ้าใหญ่สัญชาติไทยอย่าง Ookbee กันบ้าง
ซึ่งช่วงนี้ Ookbee มีโปรแรงไม่เก็บค่าเอาหนังสือไปวางขายบนเวบเค้า แต่นักเขียนยังต้องเสียค่าช่องทางการจัดจำหน่าย จะโดนหักมากน้อยขึ้นอยู่กับช่องทางจัดจำหน่ายค่ะ (คลิ๊กเพื่อดูรูปใหญ่)


อ้างอิง http://writer.ookbee.com/TermAndCondition#PaymanetCondition


ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า Ookbee เปิดโอกาสและเชิญชวนให้คนทำ eBook ทำหนังสือขายบน Ookbee กันเยอะๆ ค่ะ

เห็นส่วนแบ่งรายได้หนังสือเล่มและ eBook กันแล้ว สนใจมาทำหนังสือกันมั่งหรือยังคะ^^

หลิน








Wednesday, July 22, 2015

คนรัสเซียกว่า 70% หันมาอ่าน eBooks กันแล้วนะ แล้วคนไทยล่ะเป็นไง?

วันนี้เรามาสำรวจตลาดหนังสือในรัสเซียซักหน่อยดีกว่าค่ะ
ตลาด eBooks ในรัสเซียถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นมาไม่นานนัก
คนรัสเซียถึง 70% หันมาอ่าน eBooks กันแล้วนะคะ

ลองมาดูกันสักหน่อยดีกว่าค่ะว่าแนวโน้วเป็นยังไงงงง (คลิ๊กที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)


จากการสำรวจพบว่าก็พบว่า..

จำนวนหนังสือเล่มที่ออกสู่ตลาดมีแนวโน้วลดลง
สาเหตุที่ลดลงก็คือ การเข้ามาของ eBooks, ราคาของหนังสือเล่มที่แพงขึ้น และเวลาว่างของคนอ่านที่น้อยลง

นอกจากนี้ คนที่ชอบอ่าน eBooks ยังคงชอบอ่านจากคอมพิวเตอร์เป็นหลักมากกว่าที่จะอ่านจาก tablet และ smartphone (คิดว่าเพราะเห็นชัดกว่าเย๊อะ ดีกว่าต้องมานั่งเพ่งให้ปวดตา)

ส่วนเหตุผลหลักๆ ที่หันมาอ่าน eBooks คือ ซื้อง่าย ใช้เวลาน้อยเพราะซื้อ online ได้ แถมไม่แพงเมื่อเทียบกับหนังสือเล่ม และยังหาหนังสือที่ต้องการง่ายกว่าไปซื้อตามร้านค้าแบบเดิมๆ ซึ่งบางทีไปก็เจอ บางทีไปก็หมดซะงั้น!

สุดท้าย หา eBooks มาอ่านจากไหน อันดับแรก download ฟรี (ฮ่วย!) อันดับสอง ก็อปจากเพื่อน (ฮ่วย!) อันดับสามคือ ซื้อจาก website (เฮ ปรบมือ! เย่)

จากข้อมูลพวกนี้ ไม่เฉพาะแค่รัสเซียแต่เป็นเทรนด์ใหม่ของทั่วโลกค่ะ หลินคิดว่าแนวโน้มเมืองไทยคงไม่ต่างกัน ตลาด eBooks มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ  ด้วยวัฒนธรรมก้มหน้า รูดจอ จำนวนนักเขียน eBooks เอง ก็จะเติบโตไปพร้อมกันเพื่อรองรับความต้องการของตลาด eBooks ด้วย แต่จะยั่งยืนยาวนานแค่ไหน ปัจจัยหนึ่งที่ต้องดูกันก็คือการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนด้วยค่ะ

ซึ่งจริงๆ โดยทั่วไปแล้วค่าหนังสือของ eBooks จะถูกกว่าหนังสือเล่มอยู่แล้ว เพราะที่เห็นชัดๆ ก็คือไม่ต้องเสียค่าพิมพ์กระดาษเป็นเล่มๆ ดังนั้น เรามาช่วยกันอุดหนุนหนังสือ eBooks ที่ถูกลิขสิทธิ์กันดีกว่าเน๊อะะ เพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนได้ผลิตผลงานดีๆ ต่อไป เหมือนอุดหนุนศิลปินดาราที่เราชื่นชอบยังไงหยั่งงั้นเลยค่า

หลิน^^

credit : http://the-digital-reader.com/2013/08/13/infographic-70-of-russians-read-ebooks/



Tuesday, July 21, 2015

วิธีเอาผลงานคนอื่นมาขายใน Amazon ให้ถูกกฏ บอกแบบหมดเปลือก!

หลายคนที่อยากขายหนังสือบน Amazon แต่ติดที่ยังนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรดี ยังตกผลึกไม่ได้ ยังต้องใช้เวลาในการคิด ฯลฯ

วันนี้หลินมีอีกแนวทางเลือกหนึ่งมานำเสนอค่ะ ไม่ต้องเป็นงานตัวเองก็เอาไปขายได้ ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย และได้ตังค์เหมือนกัน!

ใน Amazon Kindle มีศัพท์เฉพาะคำนึง เรียกว่า Public Domain ค่ะ ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงเป๊ะเลยกะเรื่องที่เราจะคุยในวันนี้

อย่าเสียเวลามารู้จัก Public Domain กันค่ะ^^

Public Domain คือ ผลงานที่ไม่มีลิขสิทธิ์ที่ใครๆ (ในโลกนี้) สามารถนำผลงานนี้ไปใช้ต่อได้ฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องขออนุญาต ซึ่งจริงๆ แล้ว Public Domain works เนี่ยมีความหมายครอบคลุมใช้ได้กับหนังสือ เพลงหรือภาพยนต์ก็ได้ค่ะ ในที่นี้จะเน้นที่งานเขียนเป็นหลักนะคะ

และก็เพราะว่าเป็นผลงานที่ไม่มีลิขสิทธิ์ จึงไม่มีปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์เวลาเอาไปใช้

แต่เราจะรู้ยังไงล่ะว่า ผลงานไหนเป็น Public Domain  ? เดวพลาดเอาไปใช้โดน ban account อีกยุ่งตายเลย

วิธีการคือดูบนเงื่อนไขดังต่อไปนี้

ผลงานที่เข้าข่ายเป็น Public Domain ได้แก่

  1. ผลงานที่เป็น Public Domain โดยอัตโนมัติเพราะงานชิ้นนั้นไม่สามารถจดลิขสิทธิ์ได้ เช่น ข้อเท็จจริงต่างๆ (สูตรคูณที่เราท่องกันตอนเด็กๆ) หรืองานที่รัฐบาลเผยแพร่ให้สาธารณชนรับรู้
  2. ผลงานที่เจ้าของผลงานกำหนดให้งานของตัวเองไม่มีลิขสิทธิ์ (เหตุผลเพื่อให้ผลงานของตนเองแพร่หลายเป็นวงกว้าง) ใครจะเอาไปใช้ก็ใช้ได้ นึกไม่ออกก็หนังสือสวดมนต์ หนังสือธรรมะ ที่ใครอยากพิมพ์ซ้ำเผยแพร่ก็ย่อมได้ 
  3. ผลงานที่เกิดก่อนปี 1923   ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้กฎหมายลิขสิทธิ์ยังไม่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ผลงานที่เกิดก่อนปี 1923 จึงเป็นผลงานที่ไม่มีลิขสิทธิ์ไปโดยปริยาย
  4. ผลงานที่ลิขสิทธิ์หมดอายุลง



หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วมีกรณีไหนบ้างล่ะที่ทำให้ลิขสิทธิ์หมดอายุลงล่ะ?

คำตอบก็คือผลงานที่อยู่ในเกณฑ์พวกนี้ค่าาา

  • ผลงานของนักเขียน (บุคคล) ที่มีลิขสิทธิ์และเสียชีวิตเกิน 70 ปีขึ้นไป  (พูดง่ายๆคือ เราใช้ผลงานเขาได้หลังจากเขาเสียไปแล้วเกิน 70 ปี) แต่หากว่าหนังสือเล่มนั้นมีผู้เขียนร่วมหลายคน ให้นับเอาจากคนสุดท้ายที่เสียชีวิตนะคะ อาจจะรอหน่อยนึง (แต่ถ้าเค้ายังหนุ่ม ไปเลือกเล่มอื่นเต๊อะเพราะเราอาจไปก่อน แหะๆ)
  • หากเป็นผลงานในนามองค์กรหรือหน่วยงาน ผลงานจะสิ้นสุดลิขสิทธิ์เมื่อ 95 ปีนับจากตีพิมพ์ครั้งแรกหรือ 120 ปีนับจากปีที่ผลงานนั้นถูกสร้างขึ้นมา ขึ้นอยู่กับว่าอายุไหนถึงก่อน (เลือกจำนวนปีที่น้อยกว่าเสมอ)
ดังนั้น เวลาที่เราจะเอาผลงานคนอื่นไปขายในลักษณะ Public Domain เพื่อความมั่นใจ ขอให้ตอบคำถามสักสองสามข้อข้างล่างนี้ก่อนค่ะ

  1. ใครเป็นคนสร้างผลงานเขียนชิ้นนี้?
  2. คนเขียนเสียชีวิตเกิน 70 ปี รึยัง?
  3. หากเป็นผลงานในนามองค์กรหรือหน่วยงาน ผลงานนั้นตีพิมพ์ครั้งแรกเกิน 95 ปี หรือมีอายุเกิน 120 ปีแล้วหรือยัง?
ตัวอย่างนะคะ
บทประพันธ์เรื่อง Romeo and Juliet เราอยากเอามาขายเป็น Public Domain ใน Amazon มากๆ เลย ขอให้ตอบคำถามนี้ก่อน

  1. ใครเป็นคนแต่ง คำตอบก็คือ William Shakespeare (ซึ่งเป็นบุคคลไม่ใช่องค์กร)
  2. เขาเสียชิวิตเมื่อไหร่  คำตอบก็คือปี 1616 ซึ่งเกิน 70 ปีขึ้นไปและยังก่อนปีที่จะมีกฎหมายลิขสิทธิซะอีก 
ดังนั้น บทประพันธ์ Romeo and Juliet จึงถือว่าเป็น Public Domain เราและคนอื่นๆ (ในโลกนี้) เอามาใช้ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตใครเลยค่ะ

หมายเหตุ กาดอกจันตัวโตๆๆ ด้วยน้าาา

  • กฏหมายลิขสิทธิ์ของแต่ละประเทศอาจแตกต่างในรายละเอียดบ้าง
  • งานที่ดัดแปลงจากต้นฉบับดั้งเดิม (original version) ก็มีลิขสิทธิ์ของเค้านะคะ เช่นหนัง Romeo and Juliet ที่พระเอกสุดหล่อ (ในตอนนั้น) Leonardo Di Caprio แสดง ก็ถือว่าผลงานชิ้นนี้มีลิขสิทธิ์ ที่เกิดจากการดัดแปลงเนื้อหาให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ ถึงแม้สร้างจากบทประพันธ์ที่ถือว่าเป็น Public Domain แล้วก็ตาม พูดง่ายๆ คือถ้าเราจะทำหนังสือ  Romeo and Juliet  มาขาย ก็ทำได้เฉพาะเนื้อหาของWilliam Shakespeare ไม่ใช่ทำหนังสือจากเนื้อหาของ Romeo and Juliet เวอร์ชั่นเฮีย Leonardo ค่ะ^^

ซึ่งเท่าที่หลินหาข้อมูลในเนตมา มีคนไทยทำหนังสือจาก Public Domain  มาขายเหมือนกัน แต่ทั้งนี้เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่าเนื่องจากผลงานเป็นผลงานที่ไม่มีลิขสิทธิ์ เรา (คนไทย) ทำขายได้ คนอื่นทั่วโลกก็ทำขายได้เหมือนกันนะคะ

หวังว่าคงจะได้ความรู้เกี่ยวกับ Public Domain กันมากขึ้นค่ะ เป็นอีกทางเลือกให้กับทุกคนนะคะ^^


หลิน^^

Thursday, July 16, 2015

แหล่งรวมภาพฟรีมีอยู่จริง แนะนำ14 websites รูปฟรีสุดเจ๋ง

พวกเราเคยเข้าไปร้านขายหนังสือ eBooks  online อย่าง Amazon Kindle Bookstore หรือเวปของไทยก็ Ookbee หรือ Mebmarket ไหมคะ

จะเห็นว่าหนังสือต่างๆ ที่ขายบนหน้าเวปจะแสดงเป็นรูปปกหนังสือ หากเราสนใจเล่มไหนค่อยคลิ๊กที่ปกเพื่อเข้าไปดูรายละเอียดของหนังสืออีกที ดังนั้นปกที่เด่น เตะตาคนอ่านก็ได้เปรียบกว่าใครนะคะ

ทีนี้เมื่อเราทำ eBook ขายเอง นอกจากเป็นนักเขียนควบ บ.ก. อีกตำแหน่งแล้ว (จริงๆเป็นหมดทุกตำแหน่ง โทษฐานอยากเป็น  Self-Publisher 555) เราก็ต้องหาปกให้หนังสือของเรา รวมถึงภาพประกอบหนังสือด้านในด้วยค่ะ

เรื่องปกหนังสือนี่ Amazon มีเครื่องมือให้ใช้ฟรีค่ะ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า KDP Cover Creator แต่หากว่าเราเลือกดูปกที่ Amazon จัดไว้ให้ใช้แล้วก็ยังไม่โดน ไม่ถูกใจ หรืออยากได้รูปภาพมาเป็นภาพประกอบของหนังสือแล้วล่ะก็ เรามีวิธีน้าา เดวจะเล่าให้ฟังค่ะ

ที่สำคัญภาพพวกเนี้ย  นอกจากจะเอาใช้เป็นรูปปก เป็นรูปประกอบหนังสือแล้ว ยังเอาไปใช้ประกอบบทความ สร้างความน่าสนใจของ content ของเรา เวลาทำ social media หรือ online marketing ได้ด้วยค่ะ

วิธีการคือลองค้นหาจาก Internet  เราจะเจอเวปไซต์ที่เขาให้เรานำรูปไปใช้ได้ฟรี ไม่มีลิขสิทธิ์ด้วยนะ บางเวปไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย ใช้ได้ทันที แต่บางเวปก็มีข้อแม้เรื่องต้องให้เครดิตเขาเวลานำไปใช้งาน หรือไม่ก็ห้ามเอารูปของเขาไปขายต่อ ดังนั้นโปรดดูเงื่อนไขก่อนนำรูปไปใช้งานด้วยนะคะ^^ 

เริ่มจากเข้า google ใช้ keyword “แหล่งรูปฟรี” ก็ได้รายชื่อเวปแล้ว หรือไม่ก็ลองเลือกจากเวปข้างล่างนี้ก็ได้ค่ะ หลินคัดมาให้แล้ว รูปสวยๆ ทั้งนั้นเลย ที่สำคัญแต่ละเวปก็มีจุดเด่นเรื่องรูปไม่ซ้ำกันด้วยค่ะ (คลิ๊กที่ชื่อเวป จะเป็น link พาไปที่เวปเลยค่ะ)


1. Unsplash

เวปนี้เด่นเรื่องรูป landscape และ close up shots ค่ะ ภาพรายละเอียดสูงใช้ได้เลย  งามมมมแต้ๆ

Unsplash_1

2Albumarium 

ส่วนเวปนี้เด่นเรื่องภาพ close up shots เช่นกันค่ะ เน้นที่คน สัตว์ และธรรมชาติ ภาพอื่นๆ ก็ใช้ได้ นอกจากนี้ ยังแบ่งหมวดหมู่ให้หาง่ายด้วย

Quick Splash



3Picjumbo 

เวปนี้ให้ขนาดรูปใหญ่โตสมชื่อค่ะ น่าจะสะใจคนชอบรูปใหญ่ และแบ่งหมวดหมู่ให้ด้วย

Webdesign Work in Progress Free Image Download

4. Gratisography 

ส่วนเวปนี้ เน้นภาพสุด cool ภาพแนวสนุกมันๆ มุมกล้องแปลกๆ ล้ำๆ ไอเดียเด็ดๆ หาได้ที่นี่ค่ะ

Picture by Ryan McGuire

5. Start-up Stock Photos

เวปนี้เป็นเวปน้องใหม่มาแรง ภาพส่วนใหญ่จะเป็นรูปถ่ายแนวคนกำลังทำงานในร้านกาแฟ มีอุปกรณ์ประกอบฉากเป็น mobile phones และ laptops เหมาะมากกับคนที่จะเอาไปใช้กับธุรกิจ
Start-up และ free-lance หรือพวก online marketing  ทั้งหลายค่าา



Startup Stock Photos

6. Life of Pix

เวปนี้มีงานรูปภาพ close up shots ดีๆหลายงานเลยค่ะ ภาพที่เป็น landscape ก็เอามาใช้เป็น background เจ๋งๆ ได้เลย ดูภาพตัวอย่างซะก่อนนน

lifeofpix_2

7. Death to the Stock Photo

เวปนี้ภาพสวยจริงๆ ค่ะ แต่คอนเซปจะต่างกับอันอื่นอยู่บ้าง ตรงที่ว่า "ไม่ฟรี" ค่ะ คือเหมือนเวปคลังภาพแบบที่ว่าสมาชิกจ่ายเงิน เวปก็ไปจ้างช่างภาพ ช่างภาพก็ถ่ายรูป รูปที่ได้ก็เอามาแชร์มาใช้ในกลุ่มสมาชิก  (แต่..แต่ เรายังสามารถได้รูปฟรีจากที่นี่อยู่เพียงแต่เลือกไม่ได้นะคะ เพียงแค่เรากรอก email ให้เขา เราก็จะได้รูปใหม่ทุกเดือน เป็นตัวอย่างยั่วน้ำลายให้สมัครสมาชิก) ใครใช้รูปในงานเยอะๆ ก็ลองพิจารณาดูค่ะ

DeathtoStock_4

8. Superfamous

เวปนี้เด่นเรื่องรูป landscape แปลกตา เอามาใช้งานออกแบบเวปหรือเป็น background ก็ดีเยี่ยมทั้งนั้นเลยนะ



9. Pixabay

อันนี้เวปสุดโปรดของหลินค่ะ ฟังก์ชั่นหารูปใช้ง่าย แถมคุณภาพรูปก็ดีอีกด้วย เรียกว่าทั้งดีทั้งฟรี


11. MorgueFile

ขนาดภาพจากเวปนี้อาจไม่ใหญ่ (ละเอียด) นักเมื่อเทียบกับที่อื่น แต่ว่ารูปมีความหลากหลายมาก ถ้างานของเราไม่ต้องการรูปขนาดใหญ่นัก (eBook)  เวปนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ


ตามชื่อเวปเลย ใครชอบรูปแนวย้อนยุค ขอเชิญทางนี้ค่ะ มีให้เลือกชมไม่รู้เบื่อเลยที่เดียว ดูจากสไตล์เสื้อผ้าหน้าผมอาเฮียได้

“Turn Off the Damn Lights”

13. Getrefe

เวปนี้เน้นรวมรูปสถาปัตยกรรมและ landscape สวยๆ แต่ไม่มีฟังก์ชั่นค้นหารูปค่ะ หายากนิดนุง


14. FreeImages

เวปนี้ชื่อก็บอกยี่ห้ออยู่แล้วค่ะ มีฟังก์ชั่นค้นหารูป แบ่งหมวดหมู่ให้ เรียกว่าฟรีและดีอีกต่างหาก

furgo


ทีนี้ก่อนนำไปใช้ เราต้องดูเงื่อนไขการใช้รูปฟรีของแต่ละเวปด้วยนะคะ ซึ่งทั่วๆ ไปเค้ามีศัพท์เทคนิคอยู่สองอย่างค่ะคือ
  1. Creative Commons zero ถ้าเขียนแบบนี้หมายความว่าใช้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นและไม่ต้องขออนุญาตด้วย ประมาณว่า พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้นะจ๊ะ
  2. Creative Commons with attribution แปลว่าเราก็ยังใช้รูปได้ค่ะ แต่ต้องให้เครดิตเจ้าของผลงานด้วย ซึ่งก็ไม่ได้ทำยากอะไรแค่พิมพ์ใต้รูป เช่น นาย John เป็นคนถ่ายรูปเป็นเจ้าของผลงาน เราก็พิมพ์ว่า "Photo by John Smith" ข้างล่างรูปเป็นอันใช้ได้
ทีนี้เราก็มีรูปสวยๆให้เลือกเอาไว้ทำปก ทำภาพประกอบกันแล้ว ปัญหาต่อไปคือ รูปสวยๆ มันเยอะเลย จะเลือกอันไหนดี เลือกไม่ถูก! 

ว้า งงเลย!


หลิน^^

Tuesday, July 14, 2015

ใครอ่าน eBook กันบ้างน้า?

แต่ไหนแต่ไรมา เราทุกคนในโลกนี้ก็อ่านหนังสือเล่มๆ เป็นหลักนะคะ จนกระทั่งมาถึงยุคดิจิตอลก็เลยเกิดเป็น eBook ขึ้นมา เค้าว่าสั่นคลอนวงการหนังสือในวงกว้างทีเดียว ปฏิวัติชีวิตนักเขียน นักอ่าน และกระบวนการทำหนังสือทั้งหมดเลยนะ

แต่บางคนบอกว่าไม่จริ๊ง ไม่จริง หนังสือเล่มต้องไม่ตาย บางคนบอกว่าหนังสือเล่มบางประเภทต้องตายแหง๋แก๋ แต่ยังไงซะ eBook ก็คงไม่สามารถมาแทนที่หนังสือเล่มได้ทุกอย่างหรอกน่า

ไม่ว่าจะถกเถียงกันยังไง เรามาดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ  eBook  ที่ฝรั่งเค้าทำกันค่ะ

infographic นี้เป็นของต่างประเทศค่ะ เขาแสดงให้เห็นว่าใครอ่าน eBook กันบ้าง โดยแยกตามเพศ อายุ การศึกษา ฐานะ และ ความสนใจค่ะ ผลสำรวจออกมาว่า แท่น..แท๊นนนน

  • ผู้หญิงรักการอ่านมากกว่าผู้ชายและยังเริ่มหันมาอ่าน eBook เป็นสัดส่วนที่มากกว่าหนังสือเล่มอีกด้วยแน่ะ เย้! 
  • กลุ่มคนหนุ่มสาวเปิดรับ eBook กันมากขึ้น ซึ่งดูไม่น่าแปลกใจ เพราะตอบรับและเรียนรู้เทคโนโลยีกันไวอยู่แล้ว ใช่ไหมพวกเรา
  • 2 ใน 3 ของคนอ่าน eBook จบอนุปริญญาหรือปริญญาเป็นอย่างต่ำ
  • คนมีฐานะชอบอ่าน eBook (อุ่ย ตรงจังเว่อร์ๆ อิ อิ)
  • คนชอบอ่าน (ทั้ง eBook และหนังสือเล่ม) ชอบอ่านเรื่องลึกลับ สอบสวน ซ่อนเงื่อน รองลงไปคือนิยายรักโรแมนติก แต่ยังไงคนยังคงชอบอ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์จากหนังสือเล่มมากกว่า eBook นะ (ไม่รู้ว่าเพราะเกี่ยวกับเรื่องเก่าๆ จะได้ฟิลต้องอ่านจากหนังสือเล่มๆ หรือป่าว)
  • จำนวนคนซื้อ eBook ที่ราคาไม่เกิน $5 มีมากกว่าหนังสือเล่ม (ที่ช่วงราคาเดียวกัน คือไม่เกิน $5) อันนี้ไม่แปลก เพราะราคา eBook ถูกกว่าหนังสือเล่มอยู่แล้วค่ะ (เพราะไม่มีค่าพิมพ์ ค่ากระดาษ และค่าจัดจำหน่ายก็ถูกกว่า ฯลฯ) ยิ่งเป็นหนังสือแบบเดียวกันที่มีทั้งเวอร์ชั่น eBook และหนังสือเล่ม หนังสือที่เป็น eBook จะราคาถูกกว่าอย่างแน่นอน

และสุดท้ายปิดท้ายด้วยเหตุผลที่ชอบอ่าน ส่วนใหญ่ตอบว่าการอ่านเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตค่ะ^^ (ฟังคำตอบแล้วปลื้มปริ่มไงไม่รู้นะคะ)


ที่มา Random House's Research and Analytics team

หลินคิดว่าไม่ว่าจะอ่านหนังสือเล่มหรือ eBook ก็ดีทั้งนั้นแหละค่ะ หนังสือดีๆ พาเราท่องเที่ยวไปได้โดยไม่ต้องเดินทาง เพิ่มประสบการณ์ทางอ้อมจากการเรียนรู้ประสบการณ์คนอื่นผ่านตัวหนังสือ  เป็นครูดีๆสอนวิชาความรู้ต่างๆ แล้วยังเป็นสื่อบันเทิงในราคาที่เอื้อมถึง 

ยังๆ ยังไม่จบ ยังเป็นของขวัญ ความปรารถนาดีและความเอื้ออาทรส่งหนังสือให้คนที่รัก และส่งต่อหนังสือที่เราอ่านแล้วให้คนที่ยังมีโอกาสเข้าถึงหนังสือน้อยกว่าเราได้อีกด้วย :)

เขียนจบแล้วน้ำตาจิไหล T_T 

จบด้วยคำแสนเชย 

"วันนี้คุณอ่านหนังสือหรือยังคะ"

หลิน^^




Sunday, July 12, 2015

คอร์สอบรมเรียนเขียนเพื่อขาย Amazon !!

มาแว้ววว! คอร์ส เรียนเขียนเพื่อขาย Amazon Kindle ค่ะ

ขอเชิญทุกคนที่สนใจอยากรู้วิธีขายงานเขียนบน Amazon มาเจอกันค่ะ มีคนมาลงเรียนเรียบร้อยแล้วว

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2558 เวลา 13.00-17.30 (อาจเกินนิดหน่อยนะคะ เพราะเนื้อหาเยอะมากกกกก)
สถานที่ก็ที่ Silom Space ใกล้กับ BTS ศาลาแดง ไปมาสะดวกแผนที่แนบด้านล่างนะคะ^^





คอร์สนี้ตั้งใจให้ผู้สนใจอยากเป็นนักเขียนทุกคน สามารถมีผลงานเขียนเป็นของตัวเองเป็น eBook ไปขายที่ Amazon ได้ มีเวทีให้ปล่อยของ แสดงผลงานสู่สายตาชาวโลกได้ ได้ passive income เป็นค่าตอบแทนจากงานเขียนหรือเรียกว่าค่าลิขสิทธิ์ค่ะ ในคอร์สนี้ เพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ จะได้มาแชร์ความรู้เกี่ยวกับ

หัวข้อสัมมนา

• นึกไม่ออกจะเขียนอะไรดี (มีคำแนะนำ)
• สอนวิธีลดภาษีจากค่าลิขสิทธิ์ที่ Amazon โอนมาจาก 30% เหลือ 5%
• บอก Guideline ของขนาดตัวอักษร วิธีการออกแบบปก ขนาดไฟล์ ประเภทไฟล์และวิธีการจัดหน้า ที่ kindle Amazon รับและแบบไหนที่ไม่รับ
• วิธีการจัดหน้าด้วยไฟล์ word.doc (ง่ายมากๆ) สำหรับขายใน Amazon
• คำแนะนำจาก Amazon Kindle ให้ขายดี
• สำหรับคนที่ยังนึกว่าจะเขียนอะไรไม่ออก สอนวิธีขายผลงานหนังสือของคนอื่นให้ถูกกฏและได้เงินด้วย
• วิธีโหลดหนังสือ eBook ผ่านเว็บ Amazon แบบโหลดยังไงให้ผ่านแบบทุก step
• วิธีตั้งราคาขายและตั้งค่าลิขสิทธิ์งานเขียน (กระเป๋าตังค์ของเราอยู่ตรงนี้ smile emoticon
• โอนเงินค่าลิขสิทธิ์เข้าบัญชีที่ไทย ทำยังไงให้ง่าย
• วิธีการดูยอดขายจาก Amazon
• วิธีโปรโมทหนังสือให้คนเข้ามาดูเยอะๆ มาซื้อ สร้าง traffic ใน post ให้คนสนใจ
• บันได 9 ขั้นสู่หนังสือขายดี
• ภาษาที่ใช้ใน kindle
• ตัวช่วยเรื่องภาษาอังกฤษที่คนไทยมีปัญหาเกือบทุกคน (รู้ไหม คนไทยทำหนังสือ eBook ไปขายที่ Amazon น้อยมากเพราะติดขัดเรื่องภาษา ถ้าเราแก้เรื่องนี้ได้จะมีโอกาสมากเพราะเรื่องไทยๆ แบบแท้ๆ ใน Amazon มีน้อยมากค่ะ)
• สรุปค่าใช้จ่ายในการทำหนังสือ eBook ไปขาย Amazon

ค่าคอร์สเรียน : 2,800 บาทรวม break

พิเศษสุดสำหรับครั้งนี้ หลินแจกหนังสือ eBook “สร้างเงินด้วยงานเขียน Amazon Kindle” ฟรี! (ราคาขาย 390 บาท) หนังสือติด Best Seller อันดับ 2 ในหมวดคู่มือและอันดับ 4 ในหมวดธุรกิจและการลงทุนใน Ookbee.com ค่ะ


ลิงค์หนังสือ

Ookbee-- http://goo.gl/N83yVK
Meb Market-- https://goo.gl/51GOYA

สนใจทดลองอ่านตัวอย่างหนังสือผ่าน Meb Market คลิ๊กlink https://goo.gl/51GOYA แล้วกด Get Free Sample (ปุ่มขวาบน) หลินลงไว้ให้ 1/3 ของหนังสือเลยนะคะ อ่านจุใจเลย





ภาพจากคอร์สที่แล้วค่ะ^^ 
https://www.facebook.com/ebookmakerich/photos/pcb.701581816635973/701580959969392/?type=1&theater

รีวิวจากผู้เรียน
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10204142571476846&set=o.655997914527697&type=1

ถามรายละเอียดเพิ่มเติมแอด line id หลินได้เลยค่ะ atcharinlili

ไว้เจอกันนะคะ^^


แผนที่: silomspace  website: http://silomspace.com/










ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเอาหนังสือไปขายที่ Amazon

โพสนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าพูดจากประสบการณ์ตรงแท้ๆ เลยค่ะ ไม่ได้เอาของใครที่ไหนมา มาจากคำถามที่หลินเจอบ๊อยบ่อยมาเล่าสู่กันฟังนะคะ อ่านแล้วจะรู้ว่าบางทีเราคิดไปเอง ที่สำคัญคิดไปใหญ่โตเกินความจริงซะตั้งเยอะแน่ะ

ลองอ่านดูนะคะ เห็นด้วยไม่เห็นด้วยยังไงก็บอกกล่าวกันได้ค่า



ไม่เก่งภาษาอังกฤษ จะเขียนหนังสือไปขาย Amazon ได้ยังไง? 

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนค่ะ ว่าจริงๆ แล้ว Amazon ออกแบบระบบให้นักเขียนทุกคน ย้ำว่าทุกคน ดังหรือไม่ดัง มีเงินหรือไม่มีเงินทำหนังสือขายเองได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (แปลว่าฟรี!!)  แล้ว Amazon เก็บหัวคิวเป็นค่าดำเนินการจากยอดขายของหนังสือเอาค่ะ และนี่คือระบบของเค้าที่วางแผนไว้ตั้งแต่ตอนแรก

แต่ด้วยความที่ว่าคนคิดระบบเนี้ยเป็นฝรั่ง Amazon จึงไม่รองรับภาษาไทยค่ะ และก็ไม่ใช่แค่ภาษาไทยที่ไม่รองรับเท่านั้น ภาษาอื่นๆ ที่มีจำนวนคนใช้ไม่เยอะในโลกนี้ก็ไม่รองรับเหมือนกัน เช่น พม่า ลาว เปอร์เซีย ตุรกี ฯลฯ

มาดูรายชื่อภาษาที่  Amazon รองรับ พูดง่ายๆ คือเขียนหนังสือแล้วเอาไปขายใน  Amazon  เป็นภาษาพวกนี้ได้ มีดังนี้ค่ะ^^

• Afrikaans 
• Alsatian 
• Basque 
• Bokmål Norwegian 
• Breton 
• Catalan 
• Cornish 
• Corsican 
• Danish 
• Dutch/Flemish
• Eastern Frisian 
• English 
• Finnish 
• French 
• Frisian 
• Galician 
• German 
• Icelandic 
• Irish 
• Italian 
• Japanese 
• Luxembourgish 
• Manx 
• Northern Frisian 
• Norwegian 
• Nynorsk Norwegian 
• Portuguese 
• Provençal 
• Romansh 
• Scots 
• Scottish Gaelic 
• Spanish 
• Swedish 
• Welsh 

Source: https://kdp.amazon.com/help?query=language+in+kindle

จะเห็นว่ามีแค่เนี้ย!! อาไรเนี่ยยย
คือเอาตรงๆ คือน้อยมากกกค่ะ เพราะภาษาในโลกนี้มีถึง 5 พันภาษา!!! (เห้ย เพิ่งรู้เหมือนกัน 555)

ข้อมูลจาก http://my.dek-d.com/AngelTVXQ/blog/?blog_id=10104904)

ดังนั้น อยากจะทำหนังสือไปขาย Amazon จึงต้องมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ(หรือภาษาที่ Amazon รองรับ)ก่อน เชื่อป่าวคะว่าไม่เฉพาะแต่พวกเราที่ต้องส่งแปล ฝรั่งที่ใช้ภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเป็นหลัก พวกนี้ก็ต้องส่งแปลเหมือนกัน ใน Amazon ถึงขั้นมี Translation Resources ไว้ให้บริการ แต่ใน Translation Resources  นี้ไม่มีภาษาไทยให้บริการค่ะ (ถึงมีก็ไม่แนะนำเพราะเป็นไปได้ว่าจะแพง เทียบกับค่าครองชีพของเค้าและเรา)

สำหรับหนังสือของหลินเอง เขียนเป็นภาษาไทยและส่งแปลค่ะ

ดังนั้น เว้ากันง่ายๆ ว่าค่าใช้จ่ายในการแปลจะเป็นค่าใช้จ่ายเดียวที่เรามี จริงๆ เราไม่ต้องแปลก็ได้ถ้าเราเขียนภาษาอังกฤษได้ดี แต่เพราะเหตุผลที่บอกไปข้างบน คนคิดเป็นฝรั่งค่ะ ระบบจึงไม่รองรับภาษาไทยด้วยเหตุนี้

แต่รู้ไหมคะ ว่าแบบนี้มีข้อดีอยู่อย่าง (ดีตรงไหนเนี่ยยยย!)

ก็เพราะว่าพอคนไทยเห็นว่ามันยุ่งยาก มันจุกจิก ดูแล้วก็ขี้เกียจทำ ท้อแท้ซะก่อน ก็เลยไม่ค่อยมีคนทำค่ะ เรื่องไทยๆ ใน Amazon ไม่ค่อยมี ถึงมีก็ไม่ใช่คนไทยเป็นคนทำ ดูรูปปกข้างล่างเป็นตัวอย่าง เค้าขายตำราอาหารไทยใน Amazon  ค่ะ!

ไม่แน่ใจว่าคนซื้อไปทำจะได้ลองกินอาหารไทยจริงๆ หรือป่าว แหะๆ





นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกหนึ่งคะ ถ้าเราเป็นคนวาดรูปเก่ง หรือจัดหน้าเก่ง เซียนillustrator, photoshop, epub หนังสือประเภทหนังสือเด็ก (Kindle Kids' Book Creator) และหนังสือภาพประกอบ (Kindle Comic Creator) เป็นทางเลือกให้คุณค่ะ เพราะว่าหนังสือพวกนี้เน้นรูป ไม่ได้เน้นคำ บางหน้ามีรูปใหญ่ๆ แต่มีคำพูดคำเดียว เช่นเป็นรูปแตงโมลูกใหญ่กลางหน้าแล้วเขียนว่า Watermelon เป็นอันจบหน้าค่าาา เยี่ยมม่ะล่ะ


ทำกราฟฟิคไม่เป็นเลย โลว์เทคที่สุดในโลกา จะเขียนหนังสือไปขาย Amazon ได้ยังไง? 

คำถามนี้ต้องก๊อปเอาข้างบนมาตอบอีกหนค่ะว่า  "Amazon ออกแบบระบบให้นักเขียนทุกคน ย้ำว่าทุกคน ดังหรือไม่ดัง มีเงินหรือไม่มีเงินทำหนังสือขายเองได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย" ด้วยเหตุผลนี้เองเค้าเลยคิดหาวิธีการที่ใครก็ได้ทำหนังสือได้ อะไรที่ยากๆ เดวเค้าคิดเครื่องมือง่ายๆ ไว้ให้ นี่คือ concept ของ Amazon

ดังนั้น แค่ใช้โปรแกรม word พิมพ์งานได้ก็ทำหนังสือได้แล้วค่ะ หลินก็ทำแค่แบบนี้เหมือนกัน ถ้าเก่งขึ้นอีกก็ใช้ epub ค่ะ ส่วนหน้าปกเค้ามีเครื่องมือชื่อ Cover Creator ให้เลือกออกแบบหน้าปกทำได้เองอย่างง่ายๆ ประมาณว่าถ้าใช้ app แต่งรูปเป็น ก็ใช้ Cover Creator เป็นค่ะ

ง่ายไหมคะ :)

ดังนั้น อย่าเพิ่งกลัวไปเลยค่ะ^^ ถ้าคิดว่าอยากลองซักตั้ง ลองศึกษากันดูก่อน ว่าใช่ทางเราไหม ถ้าลองดูแล้วไม่ชอบแนวทางนี้ ก็เลิกได้ แต่อย่าเพิ่งฝ่อทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลองทำเลยน้าา

สู้ๆ นะคะ^^

หลิน


Friday, July 10, 2015

เลือกสีให้ปกหนังสือยังไงดี มีแนวคิดเริ่ดๆ มาแชร์ค่ะ

ปกหนังสือกับสีที่ควรเลือก (เพื่อบ่งบอกตัวตนหนังสือแล้วเข้าถึงใจผู้อ่าน)

ตอนเราเรียนหนังสือตอนเด็กๆ ครูศิลปะเค้าว่าสีมีผลต่อความอารมณ์รู้สึกของเราค่ะ  ซึ่งจริงๆ แล้วหลักการนี้ก็ยังถูกอยู่เสมอนะ เพราะไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่แต่สีเนี่ยถูกใช้ในชีวิตประจำวันเราทุกอย่างค่ะ เช่น ฉลากอาหาร ขวดชาเขียว หลอดโฟมล้างหน้า แพคเกจจิ้ง มือถือ แทปเล็ต กระเป๋า ฯลฯ

การทำหนังสือก็อยู่ในหลักการนี้เหมือนกันค่ะ

การใช้สีกับโลโก้หรือปกหนังสือ แม้กระทั่งสีและสไตล์ของฟอนต์ มีส่วนสำคัญจะช่วยชักจูงความรู้สึกของคนอ่านให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการได้ค่ะ

เช่น สีเขียวให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติ สดชื่น (เช่น Starbucks และ Greenpeace)
สีดำสื่อถึงความลึกลับ ความมีอำนาจ น่าค้นหา (เช่น กระเป๋าหรู Chanel และ Sony)
สีแดง ให้ความรู้สึกร้อนแรง  ท้าทาย เร้าใจ มีพลัง (Toyata และ โค้ก)

การใช้ฟอนต์บนปกหนังสือก็เหมือนกันค่ะ ก็บ่งบอกโทนของหนังสือได้เช่นกัน ฟอนต์แบบแฟชั่นก็เหมาะกับเนื้อหาสบายๆ สนุกสนาน easy-reading ทั้งหลาย ถ้าเป็นเนื้อหาที่ต้องการความน่าเชื่อถือ ฟอนต์ที่เป็นทางการหน่อยจะเหมาะกว่า


infographic  ข้างล่างนี้ เมนหลักพูดถึงเรื่องโลโก้กับการใช้สี แต่หลินว่าเราอ่านแล้วนำมาปรับใช้ในการออกแบบและเลือกสีปกหนังสือของเราก็ไม่เลวนะคะ ทำให้หนังสือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและแสดงตัวตนของหนังสือเราให้แจ่มชัดขึ้นได้ค่ะ

(คลิ๊ก open image in new tab แล้วคลิ๊กที่รูปอีกครั้งเพื่อดูรูปใหญ่)

สรุปจาก infographic ง่ายๆ ว่า 93% ของการซื้อตัดสินใจซื้อจากสิ่ง (สี) ที่เห็น และ 84.5% ของคนซื้อบอกว่าสีที่ผลิตภัณฑ์นั้นถูกใช้เป็นเหตุผลหลักในการซื้อ (เยอะนะคะเนี่ย)

แล้วก็บอกว่าสมองคนเราตอบสนองได้ดีกับ เส้นตรง วงกลม เส้นโค้ง ในความรู้สึกที่แตกต่างกันไป 
เส้นพวกนี้เลยถูกเลือกใช้ออกแบบโลโก้ ให้แสดงตัวตนของบริษัทและส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าของแบรนด์ระดับโลกทั้งหลายค่ะ

จากหนังสือ eBook ของหลินเอง เลือกใช้สีส้มเป็นหลักเพราะตรงกับสีของโลโก้ Amazon ที่่เป็นสีส้มและส้างความเป็นกันเองกับผู้อ่านค่ะ ส่วนหน้าปกเลือกรูปคอมพ์กับคนกำลังเขียนหนังสือ เพราะชื่อหนังสือว่า "สร้างเงินด้วยงานเขียน amazon kindle" เป็น double meaning  ซึ่งทั้งหมดก็อยู่บนหลักการนี้เหมือนกันค่าา

หลิน^^

เรื่องที่เกี่ยวข้อง 
บันได 9 ขั้นสู่หนังสือขายดี‬ (ตอนที่ 1) http://ebookmakerich.blogspot.com/2015/06/9-1.html

เครดิตเรื่องและภาพ http://www.entrepreneur.com/article/247783

Thursday, July 9, 2015

11 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้ตัวเองอย่างง่ายๆ

เคยเป็นป่าวคะ เราทำงานยุ่งทั้งวัน แต่พอหมดวันกลับพบว่าเราไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง แล้วที่ยุ่งๆ ไปนี่คืออาไล อยากถาม (ตัวเอง) จุง แง่วๆ

ไปอ่านเจอบทความนี้มาค่ะ เค้าพูดถึงวิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้ตัวเอง อ่านแล้วก็จริงตั้งหลายอย่าง เลยเอามาแบ่งปันกันนะคะ เอามาปรับใช้กับงานเขียนได้ (จริงๆปรับใช้ได้กับทุกงานแหละ แฮ่..) เพราะที่สุดแล้วเราก็มี 24 ชม.เท่ากันทุกคน คนที่พัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากกว่าก็จะทำงานได้สำเร็จมากกว่านะคะ




มาดูวิธีที่เค้าแนะนำกันค่ะ^^

1. อย่าใช้ประโยค "เดี๋ยวค่อยทำ"
คนที่ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ จะตัดสินใจทันทีว่าจะเอายังไงกับเรื่องหรืองานที่เข้ามา จะทำ จะทิ้ง หรือมอบหมายต่อให้คนอื่นก็ว่าไป

ตัดสินใจให้มั่นๆ ไม่ใช่วันนี้ทำเอง พรุ่งนี้ให้คนอื่น วันอื่นกลับมาทำเองอีกเลยไม่เสร็จซ้ากทีค่าา

2. เตรียมให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้
พวกเขาจบงานในแต่ละวันด้วยการวางแผนว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร ซึ่งได้ประโยชน์สองต่อค่ะ คือการทบทวนว่าวันนี้ทำอะไรสำเร็จแล้วบ้าง และ วางแผนต่อไปว่าจะทำอะไรต่อในวันรุ่งขึ้น

“For every minute spent organizing, an hour is earned." –Benjamin Franklin

อันส่วนตัวคิดว่ามีประโยชน์มากกๆๆ เพราะว่าตอนนี้ชีวิตเราแต่ละคนก็ล้วนยุ่งเหยิงแต่ละวัน ถ้าไม่วางแผนดีๆ เดวจะลืมนู่น ลืมนี่ ลืมนั่น ในที่สุดอะไรๆ ก็ไม่เสร็จซักอย่าง (อีกเหมือนเดิม)


3. ทำเรื่องยากก่อน ในตอนต้นของวัน
ทำ to-do-list ออกมา ใส่เรื่องที่เราไม่ชอบทำในรายการแรกๆ ในตอนท้ายของวันเราจะได้ทำในสิ่งที่ชอบและสร้างแรงฮึดในวันถัดไป (เหมือนกินก๋วยเตี๋ยว แล้วเก็บลูกชิ้นไฮไลท์ไว้กินตอนสุดท้ายยังยังงั้น)

อีกอย่างเคยได้ยินว่าตอนเช้าหัวเรามักแล่นกว่าตอนอื่น ทำเรื่องยากๆ ตอนเช้า หัวที่แล่นช่วยให้ใช้เวลาน้อยลงด้วยค่ะ^^

4. จัดลำดับความสำคัญ
อย่าใช้เวลากับสิ่งที่เร่งด่วน แต่ไม่สำคัญมากเกินไป จนทำให้เราไม่มีเวลาทำในสิ่งที่สำคัญจริงๆ

อันนี้หลินคิดว่าสำคัญมากๆ อีกอย่าง เคยอ่านเจอว่าคนเก่งๆ ระดับโลก เค้าจะไม่ทำอะไรที่ไม่สำคัญกับเค้าเลย เช่น เรื่องการแต่งตัว เราจะเคยเห็นว่าเค้าจะแต่งตัวเหมือนกันทุกวันๆ (ไม่ช่ายใส่ชุดเดิมน้า) จะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิด เอาเวลาที่จะคิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องนี้ไปคิดเรื่องที่สำคัญสำหรับเค้าจริงๆ ดีกว่าประมาณนั้น

5. ประชุมอย่าเยิ่นเย้อ
การประชุมส่วนใหญ่โครตกินเวลา และได้ประสิทธิภาพน้อยเมื่อเทียบกับเวลาที่เสียไป  อย่าเสียเวลากับการประชุมจนล่วงเลยจากกำหนดการเลิก ตั้งกำหนดเวลาเลิกเอาไว้ให้ชัด บอกกับที่ประชุมหรือหัวหน้าแต่เนิ่นๆว่าเรามีเรื่องต้องทำต่อหลังจากกำหนดเลิกประชุม หากว่าการประชุมเยิ่นเย้อจนเลยเวลา จะได้มีข้ออ้างออกมาได้

และหากว่าคุณเป็นคนนำการประชุม ก็ประกาศไปเลยว่าจะเลิกประชุมเวลานี้และเลิกตามที่พูด ซึ่งจะทำให้ผู้ร่วมประชุมมีความสนใจในเนื้อหาที่ประชุมมากขึ้น

ถ้าทำแบบนี้ในออฟฟิสได้ทุกครั้งถือว่าเทพมากๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะแต่ทำได้แล้วจะมีประโยชน์มากๆ

6. รู้จักพูด "ไม่"
เมื่อถึงเวลาควรปฏิเสธเป็นค่ะ เรื่องที่เราทำไม่ได้ อย่าลังเลที่จะปฏิเสธ และเอาให้ชัด คำว่า ผมเกรงว่า..., ฉันไม่แน่ใจ.... อันนี้ไม่ได้ค่ะ คนฟังจะงงว่าตกลงเราจะเอายังไง และที่สำคัญเป็นการบอกตัวเราเองด้วยค่ะ เพื่อที่เราจะได้โฟกัสกับงานที่เหลือของเรา


7. เช็คอีเมล์เป็นเวลา
อย่าให้อีเมล์มาขัดจังหวะการทำงานค่ะ และจะดียิ่งกว่าหากว่าจัดลำดับการตอบด้วย อันไหนสำคัญตอบเลย อันไหนยังรอได้รอก่อน เอาไว้ให้งานที่อยู่ในมือเสร็จก่อน จะกลับมาจัดการ

หลินเสริมว่ารวมทั้ง Line และ  facebook ด้วยค่ะ เพราะหลินก็เป็นว่าตั้ง notification ไว้ พอเสียงดัง ตึ๊งๆๆ ทำอะไรอยู่ต้องรีบวางแล้วเข้าไปดู ทั้งที่บางครั้งเป็นเรื่องไม่สำคัญ เช่น forward Line ตลกๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรีบอ่านแต่พอเราแวะมาดู ทำให้เสียสมาธิในการทำงานตอนนั้นไปค่ะ


8. อย่าทำหลายงานในเวลาเดียวกัน
มีงานวิจัยจาก Stanford University ว่าการทำหลายๆงานในเวลาเดียวกันมีประสิทธิภาพต่ำกว่าการทำงานให้เสร็จเป็นเรื่องๆไป ลองสังเกตให้ดีจะพบว่าสมองเราคิดได้เป็นเรื่องๆไป การสลับคิดไปมามันเสียสมาธิ

หลินใช้วิธีว่าตั้งเป้าว่า 1 ชม.นี้จะทำเรื่องนี้ ก็พยายามทำเรื่องนี้ให้ครบค่ะ พอถึงเวลาก็เลิกไม่ว่าจะเสร็จหรือไม่เสร็จแล้วไปทำอย่างอื่่น อย่างที่วางแผนไว้ล่วงหน้า


9.หายตัวไปบ้าง
เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้สมาธิและความคิดสร้างสรรค์ หายตัวไปคิดงานบ้างก็ได้ เพื่อไม่ให้มีสิ่งแวดล้อมอันไม่พึงประสงค์มาขัดจังหวะรบกวนเรา แต่ว่าไม่ใช่หายไปแบบไม่มีใครรู้ บอกใครคนใดคนหนึ่งที่สนิทกันไว้ว่าจะติดต่อคุณได้ยังไง เผื่อว่ามีเรื่องด่วนเข้ามา


10.มอบหมายงานเป็น ให้คนอื่นช่วยบ้าง
เราไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่างนะ ยอมรับความจริงเถอะ ในเวลาที่มีจำกัด จงอย่าทำงานที่ไม่ถนัด เพราะมันกินเวลาและกินความพยายาม ส่งต่อให้คนอื่นที่เชี่ยวชาญกว่าเราทำซะ แล้วคุณก็จงมุ่งมั่นทำงานที่คุณกำลังทำอยู่

จริงที่สุดค่ะ หลินเคยพยายามทำกราฟฟิคเอง ทั้งๆ ที่ไม่ถนัด ทำอยู่นานนนนน ในที่สุดก็เสร็จแต่ไม่สวย ใช้ไม่ได้ ต้องไปจ้างเค้าทำอยู่ดี แล้วทำไมไม่จ้างทำตั้งแต่ต้นฮะ สรุปเสียเวลาและเสียเงิน แทนที่จะเสียเงินอย่างเดียว T_T


11. ใช้เทคโนโลยีช่วยงาน
เทคโนโลยีเป็นดาบสองคม มันทำให้เราทำงานช้าลงได้หากว่าเราติดมันมากเกินไป Line ทั้งวัน ออน facebook ทั้งคืน แต่เราใช้มันเป็นให้เราเป็นนายมัน มันก็ช่วยให้เราทำงานคุ้มเวลามากขึ้น เช่นกรองอีเมล์ขยะ จัดลำดับความสำคัญ เตือนเมื่อมีอีเมล์สำคัญหรืออีเมล์จากคนที่เรารออยู่เข้ามา ใช้เป็นออแกไนเซอร์ก็ยังได้ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเช็คโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ


ลองดูนะคะ ถึงแรกๆ จะทำไม่ได้ทุกข้อ ค่อยๆ ปรับกันไปค่า
หลิน


ที่มา http://www.entrepreneur.com/article/248063 แล้วมาเพิ่มความเห็นส่วนตัวเข้าไปค่ะ^^

สร้างเงินล้านจากงานเขียน

คอร์สอบรมนักเขียน ตั้งแต่เริ่มจรดปากกายันขายงานผ่านสำนักพิมพ์และขายเองก็ได้ง่ายจัง
รับแค่ 20 คนเท่านั้นนะคะ

สิทธิพิเศษ!! สำหรับคอร์สนี้เท่านั้น
เปิดโอกาสส่งผลงานเขียนเพื่อคัดเลือกออกหนังสือกับสำนักพิมพ์ได้โดยตรง!!


มาเรียนรู้วิธีทำธุรกิจแบบที่ไม่ต้องขายของ ไม่ต้องสต๊อกของ ไม่ต้องเดินทางไปหิ้วของ ไม่ต้องตื่นตี 4 มาทำกับข้าวทำขนมขาย ไม่ต้องเฝ้าร้านจนดึก วันหยุดก็หยุดไม่ได้เพราะเป็นวันทำเงิน ฯลฯ ที่สำคัญอยู่บ้านก็ทำงานได้ เพราะทั้งหมดอยู่ในหัวคุณหมดเลยค่ะ !


สิ่งที่จะขายคือความรู้ที่เรามี แล้วเรียบเรียงมาเป็นหนังสือ แบ่งปันประสบการณ์ให้คนอื่น ทำให้คนอื่นมีชีวิตทีดีขึ้น แก้ปัญหาให้เค้าได้ และนี่คืองานของนักเขียนค่ะ

รอบวันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2558; 10:00 - 17:00 น
รอบวันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2558; 10:00 - 17:00 น

เพื่อความใกล้ชิดและเคี่ยวกรำจากหลินและพี่เมษ รับแค่ 20 คนเท่านั้นค่ะ

ผู้เข้าอบรมทุกคนหลินแจกหนังสือ eBook “สร้างเงินด้วยงานเขียน Amazon Kindle” Best Seller ในหมวดคู่มือและหมวดธุรกิจและการลงทุนใน Ookbee ฟรีค่าาาา

แล้วเราจะได้รู้ว่านักเขียนไม่จำเป็นต้องไส้แห้งแล้วน้าา
ดูหลินเป็นตัวอย่างได้ อิ อิ^^ (อวบระยะสุดท้าย 55)

ดูรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ 

แล้วพบกันนะคะ
หลิน

Tuesday, July 7, 2015

คนประสบความสำเร็จเค้าทำอะไรกันนะวันๆ

อันนี้น่าสนใจมากๆ ค่ะ ไปเจอมาเลยอยากแชร์เนอะ หลายๆ คนอาจเห็นมาก่อน อ่านอีกทีก็ถือว่ารีเฟรชประสบการณ์นะคะ^^

คนประสบความสำเร็จในที่นี้ที่เค้าอ้างถึง เช่น Bill Gates, Warren Buffet, Calos Slim, Larry Ellision ฯลฯ

สั้นๆ : คนเก่งประสบความสำเร็จ พวกเขามีนิสัยอะไรที่เหมือนกันก็คือ
มีวินัย พัฒนาตัวเอง แบ่งเวลาออกกำลังกาย ดูทีวีน้อย มุ่งมั่น และ #อ่านหนังสือ ค่ะ



ยาวๆ :
  1. ทำ to-do-list หรือรายการที่ต้องทำประจำวันนั่นเอง อันนี้เห็นด้วยอย่างมากค่ะ เพราะวันๆ แต่ละคนธุระยุ่งเหยิงวุ่นวายมาก การที่เขียนว่าต้องทำอะไรมั่ง ทำให้เราไม่ลืมและทำได้จนครบค่ะ
  2. ตื่นแต่เช้าจะมีเวลามากขึ้น (ทำยากมากกก  ><')
  3. ฟังอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเวลาเดินทางไปทำงาน แทนจะฟังข่าวดารา แหะๆ
  4. สร้าง connection
  5. ชอบอ่านหนังสือ อ่านหนังสือมากกว่า 30 นาทีต่อวัน
  6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 4 วันต่อสัปดาห์
  7. กิน junk food ให้น้อย
  8. ดูทีวีน้อยกว่า 1 ชม.ต่อวัน
วิธีสอนลูกเค้าว่ากันแบบนี้ค่ะ
  1. สอนนิสัยข้างบนนี้ให้ลูก
  2. สอนให้ลูกหัดทำงานอาสา
  3. สอนให้ลูกอ่านหนังสือที่ไม่ใช่นิยาย 2 เล่มต่อเดือน
วิธีตั้งเป้าหมายเค้าทำกันแบบนี้ค่ะ
  1. เขียนเป้าลงไป
  2. focus ที่จะทำเป้านั้นให้สำเร็จ
  3. พัฒนาตัวเอง
  4. เชื่อว่านิสัยที่ดีสร้างโอกาสให้สำเร็จ ดังนั้นต้องทำบ่อยๆ
  5. เชื่อว่านิสัยที่ไม่ดีทำให้เกิดผลกระทบไม่ดีกะชีวิต ดังนั้นต้องเลิกทำ
มีกี่ข้อเอ่ยที่เราใกล้เค้าคะ? ไม่ว่าจะมากหรือน้อยหรือไม่มีเลยซักข้อ เราก็เริ่มทำกันได้นะ ไม่ได้แปลว่าเราต้องลอกเค้าหรอกนะคะ แต่เท่าที่อ่านมันน่าจะมีประโยชน์ต่อชีวิตเราเองมากกว่ามีโทษนะ ทำได้ก็ถือว่าทำให้ชีวิตเราเองแหละไม่ใช่ชีวิตใครดีขึ้นค่ะ^^

หลิน

แปลจาก Habits of the World's Wealthiest People (Infographic)
http://www.entrepreneur.com/article/230918