Monday, October 26, 2015

6 เทคนิคตั้งชื่อหนังสือให้โดนนนน!!!

หลินเคยได้ยินว่ามีคนบอกว่าปกหนังสือก็เหมือนรักแรกพบของคนอ่าน เห็นครั้งแรกบอกเลยว่าชอบ ไม่ชอบ และการที่บอกว่าชอบไม่ชอบในแว๊บแรกที่เห็นนี่ล่ะค่ะ มีผลเยอะเลยต่อการตัดสินใจว่าจะซื้อ หรือไม่ซื้อ ดังนั้น ประโยคข้างบนที่พูดคงจะถือว่าไม่เว่อร์เท่าไหร่นะคะ

และเพราะว่าชื่อหนังสือสำคัญซะขนาดนี้เอง วันนี้มีตำราฝรั่งเค้าแนะนำเทคนิคการตั้งชื่อหนังสือให้โดนใจคนอ่านค่ะ

มาติดตามกันนะคะ^^

ภาพจาก https://amyjarvisillustration.files.wordpress.com


ข้อ 1 รู้จักกลุ่มผู้อ่านเป้าหมายของเรา
ลองตั้งคำถามทำนองนี้กับตัวเองดูค่ะ

กลุ่มผู้อ่านเป้าหมายของเราเป็นใคร ชอบอ่านเรื่องราวแบบไหน แล้วทำไมเค้าต้องชอบเนื้อหาแบบนี้ของเรา เราอยากให้คนอ่านหนังสือเราจบแล้วมีความรู้สึกยังไง เช่น สนุกสนาน มีแรงบันดาลใจ ฯลฯ  หนังสือของเราแตกต่างจากหนังสือของคนอื่นๆ ในหมวดเดียวกันยังไง

สำคัญคือ แล้วเราจะตั้งชื่อหนังสือยังไงให้โดนใจเค้า ถ้ากลุ่มเป้าหมายเราเป็นแฟนคลับเกาหลี คำว่า "โอปป้า" ก็น่าเลือกใช้มากกว่าคำธรรมดาอย่าง "สุดหล่อเกาหลี" หรือเปล่าคะ?

ข้อ 2  ดูหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรา
วิธีการคือไปร้านหนังสือ หรือหาหนังสือออนไลน์ก็ได้ค่ะที่เกี่ยวข้องกับหนังสือของเราที่กำลังจะเขียน สมมติว่า เราอยากเขียนนิยายเกี่ยวกับชีวิตหญิงสาวชาวกรุงเทพฯ เมื่อ 40 ปีก่อนเป็นตัวเอก เราก็ควรจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสวนลุมฯ (ที่ๆ คนมีตังสมัยก่อนไปเที่ยว) งานกาชาด โรงหนังสกาล่า ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา หนังสือเกี่ยวกับสาวสังคมสมัยก่อน กิน ดื่ม เที่ยวที่ไหน แต่งตัวยังไง ฯลฯ

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้จดชื่อที่คุณชอบออกมา เพื่อที่ว่าคำไหนจะสามารถจะเอามาพัฒนาเป็นชื่อหนังสือและอธิบายเนื้อหาหนังสือในเล่มได้บ้าง

ข้อ 3 คิดชื่อให้สั้นเข้าไว้
ปกที่ดีควรจะสั้นเข้าว่า (ยกเว้นบางกรณีที่ยาวแล้วโดน แต่ปกติสั้นจะคนจะจำได้ง่ายกว่า)

ข้อ 4 คิดชื่อให้อ่านทีเดียวแล้วเห็นภาพ
ถ้าชื่อหนังสือของเราสามารถสร้างมโนภาพในใจคนอ่านได้ นั่นคือโบนัสที่ถือว่าเจ๋งสุดๆ ค่ะ ลองจินตนาการถึงหนังสือชื่อ "ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต" นวนิยายรางวัลซีไรต์ 2558 อืมมม์..มันชวนให้คิดตามซะจริงๆ ว่าตาบอดยังไม่พอ ยังอยู่ในเขาวงกตซะอีก อะไรจะรันทดขนาด แล้วชีวิตนี้จะหาทางออกได้ไหมเนี่ย??

ข้อ 5 คิดชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
เรื่องสำคัญที่ควรรู้ในข้อนี้ก็คือ ชื่อหนังสือ "ไม่มีกฏหมายลิขสิทธิ์คุ้มครอง"  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากๆ ที่ชื่อหนังสือเราจะไปซ้ำกับชื่อหนังสือคนอื่น ซึ่งเอาจริงๆ ไม่มีผลดีกับใครสักฝ่าย โ้ดยเฉพาะชื่อที่เป็นชื่อทั่วไปมากๆ เช่น Feel Good หรือ Lovesick

วิธีการที่ดีอีกวิธีหนึ่งก็คือ ลองลิสต์ชื่อหนังสือทั้งหมดออก อาจจะใช้วิธีดึงเอาชื่อตัวเอก คาแรกเตอร์ตัวเอง ชื่อสถานที่ หรือประโยคยอดฮิตในหนังสือมาเป็นชื่อหนังสือเพื่อหลีกเลี่ยงชื่อที่ซ้ำค่ะ

ข้อ 6 คิดชื่อให้ชัดเจน
แน่นอนที่สุดว่า ชื่อหนังสือควรจะเกี่ยวกับเรื่องราวในหนังสือ เอาเป็นว่ากลุ่มเป้าหมายเราควรอ่านทีเดียวแล้วเข้าใจว่าหนังสือเกี่ยวกับอะไร แต่ผู้อ่านที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายก็ควรอ่านแล้วรู้เรื่องด้วย ระวังพวกศัพท์เทคนิค ศัพท์เฉพาะทาง ไม่เหมาะกับการตั้งชื่อเรื่อง

ถ้าเราไม่ได้เขียนนิยาย ชื่อเรื่องที่ดีควรจะบอกคนอ่านว่าอ่านจบแล้วได้อะไร เช่น  โยคะสูตรหน้าเด็ก รวยด้วยอสังหา ฯลฯ

ลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ^^ หลินขอให้หนังสือของทุกๆ คนขายดีมากๆ เลยค่ะ เพี้ยงๆๆ

หลิน^^

#########################


คอร์สอบรมเรียนเขียนเพื่อขาย Amazon !!

มาแว้ววว! คอร์ส เรียนเขียนเพื่อขาย Amazon Kindle ค่ะ

ขอเชิญทุกคนที่สนใจอยากรู้วิธีขายงานเขียนบน Amazon มาเจอกันค่ะ 
http://goo.gl/MQklJQ



วันที่ 28 พฤศจิกายน 2558 เวลา 13.00-17.30 (อาจเกินนิดหน่อยนะคะ เพราะเนื้อหาเยอะมากกกกก)
สถานที่ก็ที่ Silom Space ใกล้กับ BTS ศาลาแดง

รายละเอียดคอร์ส คลิ๊กลิงค์ข้างล่างได้เลยค่ะ

http://goo.gl/MQklJQ




Friday, October 16, 2015

5 วิธีที่จะทำให้ฝันคุณไม่สำเร็จ!!!

หลินว่าโตจนป่านนี้ เราอ่านอะไรเกี่ยวกับ How to be successful กันมาเยอะนะคะ
10 วิธีถึงฝั่งฝัน, 5 วิธีรวยเงินล้าน,  8 วิธีมีประสิทธิภาพในการทำงาน 6 วิธีเป็นมนุษย์เงินเดือน ฟรีแลนซ์ขั้นเทพและอื่นๆ อีกเยอะเลย

พอดีได้ไปดูคลิป TedTalk มาค่ะ ชื่อ 5 วิธีที่ทำให้ฝันคุณไม่สำเร็จ!! เห้ยยย..น่าสนใจ นี่มันตรงกันข้ามกับที่เราอ่านกันมาเย๊อะะเลยนี่ ดั๊นมาบอกวิธีทำลายฝัน ลองคลิกดูดีกว่า..

ดูจบแล้วได้เรื่องเลยค่าาา หลินว่าเค้าพูดได้ตรงใจมากๆ มันเป็นธรรมชาติของคนเราจริงๆ กับทุกๆ เรื่องของชีวิตที่หวังความสำเร็จเร็วๆ หวังว่าต้องมีใครมาคอยช่วยเหลือ หวังว่าใครสักคนต้องมาบอกสูตรเคล็ดลับให้ประสบความสำเร็จ และอีกสารพัดที่จะหวัง 

ข่าวดีก็คือเดี๋ยวนี้มีสื่อฟรีๆ ให้เราเสพเยอะแยะเลย Role Models ก็มีเยอะแยะที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากสำเร็จมั่ง
ข่าวร้ายก็คือมันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่ว่าน่ะสิ ไม่ว่าคุณยอมควักเงินแพงแค่ไหนก็ตาม

ติดตาม 5 วิธีที่ทำให้ฝันคุณไม่สำเร็จ!! (5 Ways How Not to Follow Your Dream) จาก TedTalk ค่ะ^^




วิธีแรก เชื่อว่าความสำเร็จต้องมาชั่วข้ามคืน
หุ หุๆ คุ้นๆ หรือป่าวคะ หลินว่าตัวเองก็เคยเป็นนะ เราคงเคยเห็นใครก็ตามรวยเร็วๆ แบบว่าเทพหุ้นมาเอง รวยสิบเด้งใน 2 ปี  เรียนเก่งโคตรๆ อ่านหนังสือก่อนสอบวันเดียวได้เต็มแระ ทำธุรกิจแล้วก็ประสบความสำเร็จสุดๆ ขายดีถล่มทลาย (บางทีเราก็แอบคิดว่า ไรแว้? แค่ขายของแค่เนี้ย ทำไมขายดีนักอ่ะ! เราก็ทำได้ไม่เห็นยาก) โอ้โหห...เฮะะ! น่าอิจฉาเป็นบ้าเลยใช่ป่าวคะ

ในความเป็นจริงสิ่งที่เราเห็นคือทฤษฏีภูเขาน้ำแข็ง คือเราเห็นแค่ก้อนลอยเหนือน้ำจิ๊ดเดียวที่เค้าประสบความสำเร็จ รู้ป่าวว่ากว่าจะมาถึงวันนี้เลือดออกทางเข่ามากี่หน ร้องไห้มากี่ครั้ง พยายามมากี่รูปแบบ ล้มมากี่ครั้ง เรารู้มั่งป่าว?? (ก้อนใหญ่บะเริ่มเทิ่มอยู่ใต้น้ำ)

ดังนั้น ไม่มีความสำเร็จอะไรชั่วข้ามคืนหรอกค่าา มันแค่เพราะเราไม่เห็นเอง...ก็เท่านั้น



วิธีที่ 2 เชื่อว่ามีคนจะให้สูตรสำเร็จกับตัวเองได้แน่นอน
แน่นอนที่สุดว่าคุณเป็นที่รักของเพื่อนฝูง ครอบครัว เมื่อถึงเวลาที่ชีวิตมีทางแยก คุณต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ทุกคนที่รักคุณและคุณรักก็จะพร้อมใจกันมาให้ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ หรืออะไรก็ตามแต่ 

แต่เชื่อไหม เราจะถามใครไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก เพราะเค้าไม่ใช่เราและเราไม่ใช่เค้า หลังจากคุณได้คำแนะนำจากเค้า ผ่านไปอีกสักพักชีวิตคุณก็จะถึงเวลาต้องตัดสินใจอีก แล้วเอาไงล่ะ?? ถามทุกคนที่รู้จัก 100 คน ได้ 100 คำตอบ แล้วคุณจะเลือกทางไหน?? หรือเอามายำรวมกันดีไหม??

ในที่สุดแล้ว เราก็ต้องตัดสินใจเลือกเดินด้วยตัวเอง เพราะ "ไม่มี" ใครในโลกนี้ที่มีคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับเราทุกอย่างหรอกค่ะ แน่นอนว่าทางเดินที่คุณเลือกอาจจะสะดุดหกล้มบ้าง ไรบ้าง แต่บอกได้เลยว่านี่คือกระบวนของการเป็นชีวิตมนุษย์อย่างเราๆ นี่ล่ะ  (ใครจะการันตีล่ะว่าถ้าทำตามคนอื่นๆ แล้วชีวิตเราจะไม่สะดุด แล้วถึงตอนนั้นจะโทษใคร??)



วิธีที่ 3 เลิกเมื่อถึงเป้าเดียวในชีวิต
แน่นอนว่าพอเราบรรลุเป้าอะไรสักอย่างที่เราวางแผนไว้ เราก็อยากจะเลิกใช่ป่าวคะ เหนื่อยเฟ้ย เสร็จซะที ><'

แต่จริงๆ ชีวิตเรามันไม่ได้มีเป้าหมายเดียว พอบรรลุแล้วเราก็ต้องพยายามๆ ต่อไปเพื่อไปถึงเป้าหมายใหม่ เป้าหมายต่อไป ถ้าเราผ่อนแรงลงมั่งมันก็อาจจะไม่ได้แย่เท่าไหร่ เพราะมีฐานเดิมคอยหนุน แต่ให้เรามองอีกอย่างดีกว่าว่าถ้าเราใส่แรงลงไปอีกหน่อย พยายามอีกนิด เราจะไปได้ไกลกว่าเดิมเพราะมีฐานเดิมมาคอยหนุนต่างหาก




วิธีที่ 4 โทษว่าความผิดพลาดทั้งหลายนั้นเป็นของคนอื่นและสิ่งอื่นๆ (ยกเว้นตัวเอง)
ได้ยินกันบ่อยๆ ป่าวคะว่า โอ้ยย!..เศรษฐกิจไม่ดีอ่ะ เลยขายของไม่ดีเลย  โอ้ยยย!..ชั้นมันไม่มี connection อ่ะ จะมีโอกาสออกหนังสือได้ไง โอ้ยยย!..หัวไม่ดีมาตั้งแต่เด็กอ่ะ เรียนไม่เก่ง โอ้ยย!...ได้ลูกน้องไม่เก่งอ่ะ ธุรกิจเลยไม่โต ฯลฯ (หลินก็เป็นแบบนี้เป๊ะๆ เลย เอาชีวิตจริงมาตีแผ่น่ะเนี่ย TT)

จริงๆ แล้วฝัน "ของเรา" เราต้องเป็นคนรับผิดชอบฝันนี้เต็มๆ รับผิดชอบให้ฝันของเราสำเร็จ ใช่แล้วล่ะค่ะเศรษฐกิจไม่ดี ตลาดแย่ หาลูกน้องดีๆ ไม่ได้ ไม่มีหัวการค้า ไม่เคยทำ ฯลฯ แต่ถ้าไม่มีใครอยากซื้อหนังสือที่คุณเขียน ไม่มีใครอยากซื้อของที่คุณขาย ไม่มีใครอยากทำงานกับคุณเลย แสดงว่า "ตัวเรา" ต้องมีอะไรผิดพลาดแหงๆ แน่นอน

ตัวเราต้องรับผิดชอบตัวเอง ถ้าฝันเราไม่เป็นจริง อย่าโทษคนอื่น




วิธีที่ 5 มุ่งแต่ถึงเป้าหมาย ลืมความสวยงาม (ของชีวิต) ระหว่างทาง
เชื่อว่าชีวิตมีแต่เป้าหมายเท่านั้นอย่างอื่นไม่มี เหมือนอย่างเราไปปีนเขาที่สูงมากๆ ลูกนึง ตั้งตาตั้งตาปีนให้สำเร็จ พอไปถึงยอดแล้ว?? ดีใจกันแล้ว ?? ประมาณ 10 นาทีต่อมา เอาไงต่อฟร่ะ??  (ก็ต้องลงเขาดิ ถามได้??)

จริงๆ ชีวิตไม่มีแค่ฝัน แต่ชีวิตคือการเดินทางเพื่อไปถึงฝันต่างหาก ดังนั้น สำคัญคือเราต้อง "มีความสุข" กับทุกย่างก้าวที่เดินไปหาฝัน ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาทำฝันให้เป็นจริง จนลืมไปเลยว่าความสวยงามข้างทางระหว่างที่เราเดินนี่เป็นไง

แน่นอนว่าบางก้าวเดินง่ายแฮะ พื้นเรียบดี บางก้าวดันล้มซะนี่ ก็ให้คิดว่าก้าวที่มันเรียบก็ควรจะดีใจว่า เห้ยย!..มันไม่ยากแฮะ ดีใจจัง ส่วนก้าวที่ล้มก็ให้คิดเป็นประสบการณ์จะได้ไม่ล้มท่าเดิมอีก (ท่าใหม่รออยู่ อิ อิ) 

ที่สำคัญ อย่าลืมเราเองจะอาจไปไม่ถึงฝันก็ได้นะคะ แต่ไม่เสียใจหากพยายามเต็มที่แล้ว


หลิน^^

Credit: https://www.ted.com/talks/bel_pesce_5_ways_to_kill_your_dreams

ติดตามอ่านบทความเกี่ยวกับงานเขียนอื่นๆได้ที่ Blog นี้ หรือที่ facebook fanpage ข้างล่างนะคะ
https://www.facebook.com/ebookmakerich



















Friday, October 9, 2015

10 เรื่องที่คุณยังไม่รู้กับเทคนิคการใช้โซเชี่ยล!!

เช่นเคยค่ะ กับบทความดีๆ ให้ความรู้ด้านเทคนิคต่างๆ สำหรับนักเขียน บทความนี้เป็นของฝรั่งค่ะ  มีการทำสถิติสรุปในรูปแบบ infographic บอกเรื่องราวถึงวิธีการทำ marketing บนโลกโซเชี่ยล 
หลินเลยขอจัดมาให้อ่านค่าา เอาไปพลิกแพลงตะแคงหงายกันได้ตามสะดวกเลยนะคะ^^

ติดตามค่ะ

กฏข้อที่ 1 รู้หรือป่าวว่าเครื่องมือ platform ในโลกโซเชี่ยลมีกลุ่มลูกค้าไม่เหมือนกัน?  ไม่ว่าจะเป็น facebook ,Twitter, Instragram, pinterest ฯลฯ

แน่นอนว่าต้องมีอันที่ซ้ำกันมั่ง คือมีคนที่ชอบอ่าน facebook ด้วยเล่น instragram ด้วย แต่ยังไงก็ตามแต่ละ platform ก็มีลักษณะเด่นพิเศษเฉพาะ ทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่ติดตามชอบเป็นเฉพาะๆ กลุ่มไป


กฏข้อที่ 2  เวลาที่ดีที่สุดในการเข้าโพส หรืออัพโหลด คือเวลาไหน?

แน่นอนที่สุดว่าต้องเป็นเวลาหลังเลิกงานนะคะ (เพราะในเวลางานต้องแอบๆ อิ อิ) โดยเฉพาะช่วงเวลา 4-5 ทุ่ม (ของเมืองไทย หลินว่าเริ่มได้ตั้งแต่ 2 ทุ่มเลยนะ)  ฝรั่งเค้าบอกว่าวันศุกร์เหมาะกะการอัพเฟส และวันอาทิตย์เหมาะกะรีทวิต O_o


กฏข้อที่ 3 รู้ป่าวว่าคนใช้โซเชี่ยลมีเดียเป็น search engine ด้วย?  (ประหนึ่่งว่าแทน google)

facebook เป็น Platform ที่นำโด่งเลยในข้อนี้เลยนะ  (ไม่เแปลกใจคุณพี่มาร์ค รวยเอ้า รวยเอาเนอะ)


กฏข้อที่ 4 สำหรับคนที่ใช้โซเชี่ยลเพื่อการตลาด ให้โพสเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของเราสม่ำเสมอๆ  (อันนี้รู้อยู่แล้วเนอะ)


กฏข้อที่ 5  ในบรรดาประเภทโพสทั้งหมด โพสแบบไหนมีอิทธิพลต่อคนอ่านมากสุด??

แต่น แต้นท์... คำตอบคือโพสข้อความค่าา แต่หลินอยากเน้นว่าข้อความต้องน่าสนใจด้วยน้า ไม่งั้นคนอ่านจะใช้ดรรชนีนางเลื่อนไปอย่างไวเลย


กฏข้อที่ 6   โพสด้วยรูปภาพได้รับความสนใจในการแสดงความคิดเห็นมากกว่าโพสอย่างอื่น  อันนี้เห็นด้วยป่าวคะ?


กฏข้อที่ 7  เมื่ออยู่ในโลกโซเชี่ยล ต้องยอมรับความเห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ เพราะต้องมีทั้งคนเห็นด้วยและเห็นต่างจากเราแน่ๆ อย่ารบกันหน้า wall น้าา


กฏข้อที่ 8 ใช้โซเชี่ยลให้เป็นประโยชน์ ไว้หา feedback หาข้อมูล เข้าใจความต้องการของลูกค้า เข้าใจตลาด และอื่นๆ อีกแยะ อย่า search หาเม้ามอยดาราอย่างเดียว


กฏข้อที่ 9  ข้อนี้เค้าบอกว่า 91% ของคนที่แสดงความคิดเห็น เป็นคนที่มีผู้ติดตามน้อยกว่า 500 คน เรื่องนี้เค้าจะบอกอะไรเรานะ??

จากสถิตินี้ ตามความเข้าใจของหลินคือ เค้าจะบอกว่า เพราะคนกลุ่มนี้มี followers ไม่มากนัก ความเป็นส่วนตัวยังสูง ยังไม่เป็นบุคคลสาธารณะทางโซเชี่ยล จึงกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา ไม่ต้องคอยแคร์หรือกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์มากนัก  

ดังนั้นอย่าละเลยความคิดเห็นจากคนกลุ่มนี้น้าา


กฏข้อที่ 10 จะให้คนอ่านติดตาม อย่าหวังว่าจะสำเร็จในคืนเดียว!
สร้างความน่าเชื่อถือและการติดตามต้องใช้เวลา หลินเขียนเพจมาตั้ง 5 ปีแล้วค่าาา แต่ยังคงสู้ต่อไป ไอ้มดแดง ^^ เฮ!

ลองปรับใช้กันดูนะคะ

หลิน^^


ภาพจาก http://www.bustle.com/

Thursday, October 1, 2015

วิธีโปรโมทเมพๆ สำหรับนักเขียนอิสระบนโลกโซเชี่ยล!!

สวัสดีค่ะแฟนเพจทุกคน^^ เช่นเคยนะคะ หลินอ่านเจอเทคนิคดีๆ แหล่มๆ สำหรับนักเขียนอย่างเราเมื่อไหร่เป็นต้องมาบอกต่อ วันนี้เป็นเรื่องของเทคนิคดีๆ ในการใช้โซเชี่ยลโปรโมทหนังสือหรือสินค้าของตัวเองค่าา

เดี๋ยวนี้คงต้องยอมรับกันเลยว่าคนดูมือถือบ่อยกว่าดูทีวีซะอีก อย่างตัวเองเนี่ย ทีวีที่บ้านเดี๋ยวเปิดวันละไม่ถึงหนึ่งชม. ชัวร์ ๆ แต่กะมือถือต้องชาร์ตแบตวันละสองรอบ O_o  มันคืออาไล?? ดังนั้น เลยไม่น่าแปลกนะคะ ที่เดี๋ยวนี้สื่่อโฆษณาอะไรๆ ต่างก็มุ่งกันไปที่โซเชี่ยลกันซะหมด

และเพราะสื่่อโซเชี่ยลมีข้อดีตรงฟรี !! (เฮ่) และถ้าพร้อมจะเสียเงิน ใครๆ ก็โฆษณาได้ ไม่ต้องเป็นเจ้าของสื่่ออีกต่อไป คนจึงหลั่งไหลมาโฆษณาฟรีและเสียเงินบนโลกโซเชี่ยลกันมากขึ้นๆ

งั้นเรามารู้จักทำเทคนิคสื่อโซเชี่ยลฟรีๆ ให้มีอำนาจมากกว่าเดิมดีกว่า^^

ติดตามได้เลยค่าา




1. ใช้โซเชี่ยลให้เป็นโซเชี่ยล ( Be Social)
ข้อนี้ฝรั่งเค้าเล่นคำนะคะ คือในเมื่อเราใช้ "โซเชี่ยล" อยู่แล้วก็ทำตัวให้เข้า "สังคม" กะเค้าด้วยสิ! นั่นหมายถึงว่าเริ่มพูดคุยกะคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับ แฟนเพจ แฟนบล็อก ในฐานะที่เป็นตัวเรา ให้ความเป็นกันเอง เข้าถึงง่าย สนิทสนม ฯลฯ

ซึ่งจะเป็นสไตล์ไหนแบบไหน ก็ต้องขึ้นกับบุคลิกลักษณะของแต่ละคนนะคะ หลายคนจะมีเส้นคั่นว่าจะแชร์มากแชร์น้อย?? แชร์เรื่องไหนดี? จุดนี้ต้องหาจุดตรงกลางของตัวเองที่ชอบ ที่โอเค แฮปปี้ที่จะทำค่า ไม่งั้นคนเก็บตัว แต่ต้องมาแชร์เรื่องส่วนตัว เดี๋ยวจะอึดอัดแย่ ว่าม่ะ?

2. หาวิธีโปรโมทแบบเนียนๆ
เดี๋ยวนี้ เวลาเราจะให้ใครซื้อของๆ เรา วิธีเดิมๆ ที่ว่าบอกให้คนอื่นซื้อของเราหน่อยจิ แล้วทิ้งโบรชัวร์ไว้ ในโบรชัวร์บอกว่าซื้อได้ทีไหน แค่เนี้ยแล้วเราก็จากไป วิธีเดิมๆ ที่ว่าตอนนี้อาจจะยากซะหน่อยที่คนจะสนใจซื้อของๆ เราว่าไหมคะ??

เค้าแนะนำว่าเราควรเข้าไปปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อาจจะไป join group ที่เราสนใจหลายๆ group  ซึ่งเกี่่ยว กับสินค้าของเรา ช่วยตอบคำถามที่คนอื่นถามมา (ถ้าเกี่ยวกับเรื่องที่เรารู้) และเมื่อมีโอกาสก็พูดถึงของๆ เราซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ของลูกค้าได้ นับว่าเป็นวิธีโปรโมทเนียนๆ ที่คนอ่านจะแฮปปี้มากกว่าที่เรา hard sell ตรงๆ

3. ช่วยคนอื่นเสมอ
เมื่อมีโอกาส สนับสนุนคนอื่นในโลกโซเชี่ยลเสมอๆ เช่น ช่วยแชร์ ช่วยชม ช่วยเขียนโพสสนับสนุน ช่วย Like  ฯลฯ ถ้าทำแบบนี้เรื่อยๆ ตัวเราเองก็จะได้รับการช่วยเหลือในทำนองเดียวกันเหมือนกันค่ะ ในระยะยาวจะเป็นการสร้างฐาน connection ที่ดีมีประโยชน์ต่ออาชีพของเราอย่างแน่นอน^^

หลังจากเล่าเรื่องที่ "น่าทำ" บนโลกโซเชี่ยลแล้ว ฝากท้ายอีกนิดสำหรับเรื่องที่ "ไม่น่าทำ" ค่ะ

เค้าว่าคนเรามักจะชอบลืมว่าเรากำลังหาวิธีใช้ "โซเชี่ยลมีเดีย" (Social Media) อยู่ไม่ใช่ "เซลลิ่งมีเดีย" (Selling Media) ซะหน่อย! วิธีการที่เราชอบเห็นบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรือไทยก็คือ join มันทุก group และขายๆๆๆๆๆๆ โพสๆๆๆๆ ข้อความเดิมๆ ลูกเดียว ทุกวันๆๆ โพสแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ spam หรือ junk mail นั่นเองค่ะ และแน่นอนที่สุดคนที่เห็นบ่อยๆ ซ้ำๆ ก็จะกด hide, delete หรือไม่ block เราไปเรยก็ได้ ถึงแม้ว่าของๆ เราจะดี จะคุณภาพสูง หรือถ้าเป็นหนังสือก็เป็นหนังสือดี แต่ถึงตอนนั้นใครจะสนเท่าไหร่? ว่าไหมคะ??

หวังว่าจะได้ประโยชน์กันนะคะ^^

หลิน


http://www.selfpublishingadvice.org/4-top-social-media-rules-for-indie-authors/?utm_campaign=shareaholic&utm_medium=facebook&utm_source=socialnetwork