Tuesday, June 16, 2015

ก่อนจะเป็นนักเขียนอิสระ (ตอนที่ 1)

สำหรับนักเขียนมือใหม่ทั้งหลาย หลายคนอาจจะท้อ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี ไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรก่อนหลัง เพราะอาชีพนักเขียนอิสระ ไม่มีสำนักพิมพ์มาคอยทำโปรโมชั่นให้ ไม่มีสายส่ง ไม่มีตัวแทนจำหน่าย ไม่มีพนักงานจัดหนังสือเข้าชั้น และอีก ฯลฯ สรุปก็คือไม่มีอะไรสักอย่างค่ะ

ดังนั้น จึงสำคัญมากกกก ที่นักเขียนอย่างเราๆ ต้องเรียนรู้บทเรียนชีวิต ทำ marketing ทำโปรฯ ส่งเสริมการขาย PRหนังสือ ฯลฯ นอกเหนือจากความเชียวชาญในเรื่องที่เราจะเขียนค่ะ

หลินได้ไปเจอบทความนี้มา เค้าปูพื้นเส้นทางนักเขียนอิสระ โดยทำ timeline แยกเป็นเฟสๆ ไว้ ซึ่งหลินคิดว่าดีมากๆ เลย เพราะนักเขียนอิสระอย่างเราๆ บางทีก็ลืมนู่นนั่นโน่นนี่ บางทีแค่คิดพล็อตหนังสือกับสารบัญ แค่นี้ สมอง (น้อยๆ ) ของเราก็แทบโอเวอร์โหลด บทความนี้เลยเป็นเหมือน checklist ที่ดี ที่คอยเตือนว่าเราควรทำอะไรมั่งนะ

เริ่มตั้งแต่เป็นนักเขียนอิสระมือใหม่กันเลยค่ะ วางแผน 1 ปีล่วงหน้าก่อนจะวางขายหนังสือ (ระหว่างนี้ก็เขียนหนังสือไปด้วยน้า)

1. ตั้งเป้าหมายและความคาดหวังของเรา ตรงนี้ใครอ่านก็เหมือนว่า อ่านผ่านๆ ไปเห๊อะ เพราะตำราๆ ไหน ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรๆ ก็บอกให้ตั้งเป้าๆ ตั้งแล้วได้อะไร เสียเวลาปล่าว




ความจริง หลินบอกได้เลยว่าที่ตำราๆ เค้าว่ากันอ่ะค่ะ ถูกแล้ว สังเกตดูเวลาเราไม่ตั้งเป้า (ในทุกเรื่องนะ) เรามักจะปล่อยตัวเอื่อยเฉือยไปเรื่อยๆ หมดเวลาไปวันๆ สมมติมีคนถามว่าหนังสือจะเสร็จเมื่อไหร่ ถ้าเราตอบว่าค่อยๆ เขียนไม่รีบ บอกได้เลยว่าอีกนานแน่กว่าจะเสร็จ หรือถามเมื่อไหร่จะลดนน.สำเร็จ บอกว่าค่อยๆ ลด เห็นเมื่อไหร่ก็อ้วนเหมือนเดิม (นี่เอาชีวิตจริงมาตีแผ่ชัดๆ ! !)

ตั้งเป้าแล้วอย่างเดียวไม่พอ ต้องจริงจังกะเป้าด้วย แล้วก็ต้องชัดเจนว่าเราคาดหวังอะไร เช่น อยากเขียนหนังสือขาย คาดหวังเขียนให้เสร็จภายใน 1 ปี เป็นต้น



2. เริ่มสร้าง social media profile ไม่ว่าเป็น facebook, fanpage, blog, twitter เลือกดูว่าอันไหนเหมาะกับเรา หรือใช้หลายๆ ช่องทางร่วมกัน




เพราะแต่ละ social media มีลักษณะเด่นไม่เหมือนกันค่ะ เช่น facebook ก็จะเน้นเป็นเรื่องส่วนตัว เพื่อนฝูง ญาติมิตร fanpage ก็จะเป็นธุรกิจขึ้นมาหน่อยแต่มีข้อเสียคือ newsfeed ไหลไปเรื่อย โพสตกเร็วและโอกาสเข้าถึงคนให้มากๆ จะมีน้อยลงเรื่อยๆ (เพราะ facebook บังคับให้คนทำ fanpage เสียตังค่าโฆษณา) 

Blog เหมาะกับบทความยาวๆ เป็นที่รวบรวมผลงานเขียนต่างๆ ได้ดี แต่ข้อเสียคือต้องโปรโมท ไม่งั้นโอกาสเข้าถึงคนอ่านก็น้อย เป็นต้น

จากนั้น ว่าที่นักเขียนทั้งหลายควรเริ่มสร้างตัวตนผ่านทาง platform เหล่านี้ค่ะ หลายคนอาจถามว่าทำไมต้องสร้างตั้ง 1 ปีล่วงหน้าไม่นานเหรอ! บอกได้เลยค่ะจากประสบการณ์จริง การสร้างตัวตนใน social media ใช้เวลา มากหรือน้อยขึ้นกับว่า content โดนใจคนอ่านแค่ไหน เรื่องนั้นเป็นกระแสสังคมอยู่หรือเปล่า ดังนั้น 1 ปีไม่ถือว่านานเกินไปค่ะ



3. หลังจากมี social media profile แล้ว สิ่งที่ควรทำต่อคือต้องหมั่นขยันอัพ ทำให้เกิด traffic อยู่เสมอๆ ไม่งั้นก็เปล่าประโยชน์ที่จะมี คงไม่มีคนอ่านคนไหนเข้ามาทีไร เพจก็ร้าง เข้าบล็อคทีไรบล็อคก็เป็นข้อมูลเดิมตั้งแต่เดือนก่อน เป็นอย่างงี้บ่อยๆ เข้า คนอ่านก็ไม่เข้ามาอีก


ดังนั้น ก่อนจะทำ social media จงดูว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหนในการบริหาร social media (ค่าเฉลี่ยของหลินในทุกเพจคืออาทิตย์ละ 3-4 โพส) ทำแล้วต้องทำเลยอย่างสม่ำเสมอ ห้ามเลิก (เหมือนแต่งงานเลยเนาะ)

ข้อมูลใน social media ก็ควรเป็นสร้างฐานแฟนคลับของเรา เนื้อหาเกี่ยวกับหนังสือ บทความที่เกี่ยวข้อง บอกว่าเรากำลังทำหนังสืออะไร และจะเสร็จเมื่อไหร่ สนับสนุนให้แฟนคลับมามีส่วนร่วม พูดคุย ใน social media ของเราค่ะ


4. สร้าง connection ของคนในวงการเดียวกัน ตรงนี้หลายคนอาจมีความคิดว่า เฮ้ย เดี๋ยวก็แย่งลูกค้ากันหร้อก จริงๆ แล้วเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกค่ะ การสร้าง connection ช่วยให้เราเรียนรู้จุดเด่นของคนอื่น พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ปิดจุดด้อยของตัวเอง เปิดโลกทัศน์ ฯลฯ บางทีเรารู้ของเราคนเดียว เราคิดว่าเราเก่ง โดน แต่ไม่ได้รู้เลยว่า โลกของงานของเราเค้าไปกันไกลแล้ว




การมี connection ช่วยให้เราเห็นภาพกว้างมากขึ้นค่ะ ถ้าสัมพันธภาพเราดี ในอนาคตเราได้ได้ทำโปรเจคเป็นพันธมิตรร่วมกันก็ได้ ไม่ต่างอะไรกับ 7-11 ที่เปิดเกือบทุกมุมถนน ถามว่ามาแย่งลูกค้ากันไหม ความจริงคือไม่ว่าจะเข้าร้านไหนเจ้าของได้ตังหมด จบข่าว (คือเขารวยคนเดียวค่าาา)

วิธีหาพันธมิตรที่ดีก็คือ คอร์สอบรมสัมมนาทั้งหลาย Group ต่าง ๆ ใน facebook เป็นต้นค่ะ



5.ส่งตัวอย่าง ดราฟหรือต้นฉบับหนังสือไปให้คนอื่นๆ อ่าน พอเราเริ่มเขียนหนังสือไปได้สักระยะ เราสามารถส่งดราฟหนังสือไปให้คนอื่นอ่านว่าชอบไหม หนังสือแบบนี้เป็นไง พล็อตแบบนี้เป็นไง มีอะไรจะเม้นท์ไหม



เราสามารถส่งไปที่ connection นักเขียนที่เรามี ซึ่งเป็นคนวงการเดียวกันให้เม้นท์ได้ หรือถ้ากลัวความลับรั่วไหล ก็ส่งไปให้เพื่อน ญาติหรือคนที่สนใจหนังสือแบบที่เราจะขายอ่านเพื่อเม้นท์ก่อนก็ได้

ไว้มาต่อกันคราวหน้าเรื่อง ก่อนจะเป็นนักเขียนอิสระ (ตอนที่ 2) นะคะ

หลิน




No comments:

Post a Comment